วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561

กว่าจะมาเป็นสิ่งที่เราเรียกว่านาฬิกา



จากอดีตกาลจวบจนถึงปัจจุบัน  นาฬิกามีบทบาทสำคัญที่สะท้อนความเที่ยงตรงของเวลาให้กับมนุษย์เป็นอย่างมาก  และความเที่ยงตรงแม่นยำของเวลาเกิดขึ้นจากการทำงานของชิ้นส่วนกลไก  ฟันเฟืองและจานจักรต่างๆภายในที่มารวมตัวกันเป็นประดิษฐกรรมบอกเวลาชั้นสูง  ดังที่เราได้เห็นกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนั้น  นอกจะเป็นตัวแทนในฐานะเครื่องบอกเวลาแล้วเรือนบอกเวลาในจินตนาการของหลายท่านที่ชื่นชอบและสะสมอยู่นั้นยังบ่งบอกถึงรสนิยมของผู้ที่สวมใส่ได้เป็นอย่างดีด้วย  แต่เคยสังเกตกันไหมว่า  ทำไมนาฬิกาแต่ละเรือนที่ซื้อหรือสะสมอยู่ถึงได้มีราคาที่แตกต่างกัน  ทั้งที่ดูจากรูปลักษณ์ดีไซน์ภายนอกแล้วก็มีหน้าตาที่ละม้ายคล้าคลึงกัน  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัสดุที่นำมาใช้ในการประดิษฐ์นาฬิกาแต่ละเรือนนั้นมีหลากหลายชนิด  และแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป  ส่วนนาฬิกาเรือนนั้นประกอบด้วยวัสดุใดบ้าง  และวัสดุเหล่านั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร  ลองไปทำความเข้าใจกันดูเกี่ยวกับวัสดุที่นำมาใช้ประดิษฐ์นาฬิกา
 ก่อนอื่นมาดูคำศัพท์เฉพาะที่ใข้เรียกในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา  เมื่อเราได้ยินใครสักคนกล่าวถึง "นาฬิกาเรือนทอง" หรือ  "นาฬิกาเรือนเหล็ก"นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขากำลังพูดถึงวัสดุที่นำมาใช้ประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนนาฬิกา   และการที่เราจะเรียกนาฬิกาเรือนไหนว่าเป็นนาฬิกาเรือนทองนั้นขึ้นอยู่กับว่าตัวเรือนของนาฬิกานั้นๆทำมาจากทองเนื้อแข็งไม่ใช่แค่มีสีทองเหลืองหรือเคลือบด้วยชั้นของทองเท่านั้น


      เป็นที่ทราบกันดีว่าทองคำโดยส่วนใหญ่ที่เห็นๆกันอยู่ทั่วไปนั่นจะมีสีเหลืองทองแต่ในบางครั้งก็พบเห็นทองสีขาวหรือที่เรียกกันว่าทองคำขาว (White Gold) หรือทองคำสีชมพู (บางครั้งก็อาจจะเคยได้ยินบางแบรนด์เรียกว่า Rose Gold  หรือ Red Gold  แตกต่างกันออกไป ) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับโลหะที่นำมาผสมผสานเข้ากับทองคำเพื่อทำให้เกิดเป็นอัลลอย์ (Alloy )  หรือโลหะผสมมีสัดส่วนและปริมาณที่แตกต่างกันไปจึงทำให้ทองแต่ละชนิดที่ได้นั้นมีสีเข้มแตกต่างกัน


      ส่วนคำว่า  'กะรัต' หลายคนคงคุ้นหูกันเป็นอย่างดี  นั่นคือก็คือเกณฑ์สำหรับวัดค่าความบริสุทธิ์ของทองคำที่มีอยู่ในเนื้อโลหะนั้นๆแต่นาฬิกาเรือนทองโดยส่วนมากแล้วจะทำมาจากทองคำ 18 กะรัตหรือ 18k หมายถึง โลหะนั้นประกอบด้วยเนื้อทองคำบริสุทธิ์ถึง 75%ซึ่งเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปเพราะว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมลงตัวมากที่สุด


     ส่วนนาฬิกาทองคำบางเรือนที่ทำมาจากทองคำ 14 กะรัต ก็หมายถึงโลหะนั่นประกอบด้วยเนื้อทองคำบริสุทธิ์อยู่เพียง 58% และสำหรับค่ากะรัตสูงสุดของทองคำที่จัดว่าเป็นทองเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์นั้นก็คือ 24 กะรัตหมายถึงทองคำล้วนไม่มีโลหะอื่นใดผสมผสานอยู่เลยแต่ก็ยังไม่เคยปรากฏว่ามีการนำทองคำ 24 k มาใช้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นตัวเรือนนาฬิกา  ด้วยสาเหตุที่ว่าทองคำบริสุทธิ์นี้มีความอ่อนตัวเกินกว่าจะทำเป็นตัวเรือนหรือสายได้    และตามหลักประมวลกฎหมายแล้วนาฬิกาเรือนทองจะต้องมีการตีตราอยู่บนด้านหลังของตัวเรือนพร้อมบอกค่ากะรัตของทองคำที่ใช้ แต่ถ้าสายของนาฬิกาเป็นแบบที่ไม่สามารถถอดแยกออกจากตัวเรือนได้  อย่างเช่น  นาฬิกาทรงกำไลข้อมือ  ค่ากะรัตก็อาจจะประทับไว้บนกำไลข้อมือนั้นๆได้เช่นกัน

    นาฬิกาเรือนทองนั้นอาจจะมีราคาถูกที่สุดอยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่โดยส่วนมากแล้วจะมีราคาแพงกว่านี้มาก แน่นอนว่าสำหรับเรือนทอง 18k ย่อมจะมีราคาที่แพงกว่านาฬิกาเรือนทอง 14k และถ้านาฬิกาไหนมีสายซึ่งทำจากทองคำเช่นเดียวกันกับตัวเรือนแล้วละก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่านาฬิกาเรือนนั้นจะมีราคาขึ้นเป็นทวีคูณเพราะมูลค่าของทองนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าควรแก่การสะสมและครอบครองไว้ยิ่งนัก

    ทองชุบ
   นาฬิกาทองชุบ(Gold - Plated Watch)มักจะพบเห็นได้โดยทั่วไปมากกว่านาฬิกาเรือนทอง ตัวเรือนนาฬิกาประเภทนี้จะทำมาจากโลหะที่มีค่าน้อยโดยปกติที่เรามักจะพบเห็นก็คือทองเหลืองหรือเหล็กกล้า ซึ่งจะถูกเคลือบด้วยแผ่นทองคำที่มีความหนาถึง 20ไมครอน แต่โดยส่วนใหญ่ที่เราเคยเห็นกันนั้นจะเคลือบด้วยทองคำหนาประมาณ 10 ไมครอนหรือน้อยกว่านี้แตกต่างกันไป (1 ไมครอนจะมีค่าเท่ากับ 1/1,000 มิลลิเมตร กระบวนการนำโลหะทองคำเหล่านี้มาประยุกต์เรียกว่า การชุบโลหะทองคำด้วยไฟฟ้า(Electroplating) และส่วนใหญ่ทองคำที่นำมาใช้สำหรับชุบนั้นจะนิยมใช้ทองคำที่มีค่าสูงกว่า 18 กะรัต เพราะว่าจะให้เนื้อทองสีเหลืองที่มีความเข้มข้นมากกว่า

    ส่วนนาฬิกาเรือนสีทอง(Gold - Tone Watch )ที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปซึ่งมีราคาไม่สูงนักจะมีเนื้อของทองคำเคลือบอยู่บางกว่านาฬิกาทองชุบ(Gold - Plated Watch)และราคาของนาฬิกาทั้งสองชนิดนี้ก็จะมีราคาเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐฯ จนถึง 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯเลยทีเดียว

   เหล็กกล้า
 เมื่อไม่นานมานี้เอง  เหล็กกล้า(Steet)  ได้กลายเป็นวัสดุที่มีบทบาทสำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา  เนื่องจากความกระแสนิยมตามแฟชั่นที่เปลี่ยนไปทำให้รสนิยมของคนส่วนใหญ่หันมาชื่นชอบโลหะที่มีสีขาวซึ่งจะเห็นได้จากปริมาณยอดขายของทองคำขาวที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและสำหรับเหล็กกล้าที่นิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกาก็คือสเตนเลสสตีล นั่นหมายความว่าเหล็กกล้านั้นประกอบด้วยธาตุโครเมียม ก่อเป็นรูปร่างขึ้นที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นเกระป้องกันพื้นผิวของโลหะอย่างแท้จริงและยังป้องกันการกัดเซาะที่อาจทำให้เกิดสนิมได้อีกด้วย

    สำหรับนาฬิกาเรือนเหล็กกล้านั้นจะมีราคาเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ์ฯไปจนถึงหลักพันเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี หลายท่านอาจประหลาดใจว่า เหตุใดนาฬิกาที่ทำจากวัสดุราคาถูกเช่นนี้  ถึงได้มีราคาแพงลิบลิ่ว นั่นก็เป็นเพราะว่าวัสดุที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกานั้นเป็นเพียงปัจจัยเล็กๆอย่างหนึ่งที่ใช้การกำหนดหรือตั้งราคาของนาฬิกาเรือนนั้นๆสำหรับปัจจัยที่เป็นต้นทุนซึ่งมีบทบาทสำคัญมากกว่าก็คือต้นทุนแรงงานที่ช่างทำนาฬิกาได้อุทิศเวลาของตนให้กับการประดิษฐ์และจำนวนที่ใช้จ่ายไปกับการส่งเสริมการขายนาฬิกาแบรนด์นั้นจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปยกเว้นนาฬิกาบางประเภทที่ประดับด้วยเพชรหรืออัญมณีล้ำค่าต่างๆอย่างละลานตา
 สำหรับนาฬิกาประเภทนี้จะเรียกกันว่า เครื่องประดับบอกเวลา (Jewelry Watches) ราคาของนาฬิกาประเภทนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าของวัสดุที่นำมาใช้ผลิตนาฬิกาหรือไม่แตกต่างจากมุลค่าของเพชรพลอยที่นำมาใช้ประดับมากนักและอาจจะเพิ่มค่าแรงในการฝังเพชรและตกแต่งลวดลายต่างๆออกไปอีกขึ้นอยู่กับดีไซน์ของแต่ละเรือน

    นาฬิกาบางชนิดที่เราเห็นว่ามีการนำทองคำบริสุทธิ์มาใช้เป็นส่วนประกอบในการตกแต่งอยู่บนขอบตัวเรือนและสายนั้นจะเรียกกันอย่างง่ายๆว่า  นาฬิกาสองกษัตริย์ (Steel and Gold Watch ) ส่วนนาฬิกาสเตนเลสสตีลสลับคั่นด้วยทองชุบหรือโลหะสีทอง เรียกกันว่า ทู - โทนวอทช์ (Two -Tone - Watch)

 ไทเทเนียม
     โลหะชนิดหนึ่งที่มีสีขาวและยังเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงทนทานมากอีกด้วย  ทำให้ในระยะหลังนี้ไทเทเนียมกลายเป็นโลหะที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกาเช่นกันดังจะเห็นได้จากกระแสความนิยมในตัวโลหะสีขาวและยอดขายของนาฬิกาสปอร์ตที่มีการเจริญเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะว่าโลหะชนิดนี้เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการผลิตนาฬิกาสปอร์ตเป็นอย่างยิ่ง  วัสดุไทเทเนียมก็ยังมีความแข็งแรง
ทนทานมากกว่าสเตนเลสสตีลทั้งยังสามารถป้องกันการเกิดสนิมซึ่งอาจจะเกิดจากการกัดกร่อนของน้ำเค็ม กระนั้นไทเทเนียมนั้นสามารถเกิดรอยขีดข่วนได้ง่ายจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ผลิตหลายรายต้องนำนาฬิกาไทเทเนียมของเขาไปเคลือบด้วยโลหะที่ใช้สำหรับป้องกันรอยขีดข่วนโดยเฉพาะอีกชั้นหนึ่ง

    วัสดุชนิดอื่นๆ  (Other Materials)
    นาฬิกาบางชนิดทำมาจากวัสดุอะลูมิเนียมซึ่งก็เป็นโลหะอีกชนิดหนึ่งที่มีสีขาว  น้ำหนักเบาและป้องกันการเกิดสนิมได้ด้วย  ว้สดุที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักสำหรับการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกานั้น  ยังมีอีกหลายชนิด อาทิ วัสดุที่มาจากการผสมผสานของ  'ทังสเตนคาร์ไบด์' และ'ไทเทเนียม' ส่งผลให้วัสดุชนิดนี้แข็งแรงทนทานเป็นอย่างมาก และยังเป็นโลหะชนิดต้านทานรอยขีดข่วนได้อีกด้วย
     ไฮ - เทค เซรามิกส์ (HI - Tech Ceramics) เป็นวัสดุที่ถูกใช้เพื่อเป็นเกราะป้องกันความร้อนบนกระสวยอวกาศ แต่ภายหลังได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกาด้วยเช่นกันดังจะเห็นได้จากแบรนด์อย่าง ราโด (Rado) ที่นำมาใช้ผลิตเป็นตัวเรือนและสายในผลงานบอกเวลาคอลเลกชั่นดังอย่าง   ซินทรา(Sintra)
   นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายยังได้นำเทคนิคการเคลือบโลหะเพื่อป้องกันหรือตกแต่งนาฬิกาทองเหลืองหรือนาฬิกาเรือนเหล็กของเขาโดยใช้เทคนิคการเคลือบที่เราเรียกสั้นๆว่า PVD (Physical vapor Depositon)   ซึ่งการเคลือบด้วยทองคำก็สามารถผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ได้เช่นเดียวกันเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก นอกเหนือจากกรรมวิธีที่นำโลหะนั้นไปชุบทองด้วยไฟฟ้า (Electroplating)  ดังนั้นการนำวัสดุไทเทเนิยมไนไตรท์ ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานสูงก็สามารถนำมาเคลือบ PVD เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนได้เช่นกัน
   คาร์บอนไฟเบอร์ จัดเป็นวัสดุอีกชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแรงและมีน้ำหนักเบาไม่ว่าจะเป็นชนิดที่มีสีดำหรือสีเทาดำอันที่จริงแล้วเป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์และสารประกอบโพลีเมอร์ซึ่งบางครั้งได้มีการนำมาใช้เพื่อทำหน้าปัดและตัวเรือนของนาฬิกา

   ผลึกแก้วใสหรือคริสตัลแซพไฟร์
   สำหรับวัสดุที่นำมาใช้เพื่อทำเป็นกระจกคริสตัลใสป้องกันพื้นหน้าปัดของนาฬิกานั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดนั่นก็คือ กระจกมิเนอรัล ( MINERAL  GLASS )ซึ่งเป็นกระจกที่มีพื่นฐานการผลิตเช่นเดียวกันกับกระจกที่ใช้ทำหน้าต่างดังที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป   วัสดุชนิดที่สองก็คือ อะครีลิก(Acylic)  ซึ่งเป็นพลาสติกใสชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแรงทนทานเป็นอย่างสูงและยังเป็นวัสดุที่ป้องกันการแตกละเอียดได้ดีอีกด้วยแต่คริสตัลชนิดนี้สามารถเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย  จึงไม่นิยมนำมาใช้ในการทำกระจกหน้าปัดนาฬิกาสำหรับวัสดุชนิดสุดท้ายที่เราจะกล่าวถึงนั่นก็คือ แซพไฟร์สังเคราะห์ (Synthetic Sapphire)  เป็นวัสดุชนิดพิเศษที่มีความเเข็งแรงทนทานมาก และถูกนำมาใช้เพื่อเป็นคริสตัลชนิดต้านทานรอยขีดข่วนได้ดี

   แซพไฟร์สังเคราะห์ก็คือวัสดุชนิดเดียวกันกับแซพไฟร์ที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับต่างๆเว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคริสตัลที่ทำขึ้นโดยฝีมือมนุษย์และเมื่อถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ทำนาฬิกาคริสตัลแบบไร้สีเช่นเดียวกับแซพไฟร์ตามธรรมชาติ ซึ่งมีอัตราความแข็งแรงทนทานอยู่ที่ระดับ 9 เลยทีเดียวสำหรับเพชรนั้นถือว่ามีอัตราความแข็งอยู่ที่ระดับ 10 ซึ่งเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติชนิดเดียวเท่านั้นที่มีความแข็งแรงที่สุด ทั้งนี้แซพไฟร์สังเคราะห์ยังได้มีการนำมาใช้ประกอบเป็นฝาหลังของตัวเรือนเพื่อเผยให้เห็นการทำงานของกลไกที่ตกแต่งขัดเกลาได้อย่างประณีตงดงามอีกด้วย


   สายนาฬิกา
สายนาฬิกาทำมาจากวัสดุหลายๆชนิดที่มีความแตกต่างกัน อาทิ ทองคำ สเตนเลสสตีลชุบทอง ทองเหลืองชุบทอง   เหล็กกล้า ไทเทเนียม  อะลูมิเนียม รวมถึงหนังสัตว์และหนังลูกวัว (Calfskin)  ก็เป็นหนังชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการนำมาทำสายนาฬิกา  ส่วนหนังอีกชนิดหนึ่งหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ก็คือ  หนังแพะอ่อน  (Kidskin)  หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เชฟโร' (Chevreau) ซึ่งทำมาจากหนังแพะนั่นเอง  นอกจากนี้ยังมีหนังลูกหมูและหนังแกะที่มีการนำมาใช้ประกอบเป็นสายนาฬิกาด้วยเช่นกัน  สำหรับกลุ่มประเภทของหนังที่นำมาทำสายของนาฬิกาที่เราเรียกกันว่า หนังเทศหรือหนังที่มีลวดลายประหลาด (Exotics)  โดยทั่วไปจะมีราคาสูงกว่าหนังวัวหรือหนังหมูในที่นี้จะขอยกตัวอย่างให้เห็นกันอย่างชัดเจนได้แก่ หนังตะกวด (Lizard)  หนังจระเข้ท้องเหลือง (Crocodile)    หนังจระเข้ตีนเป็ด(Alligator)  หนังนกกระจอกเทศ (Ostrich)  และหนังปลาฉลาม (Shark) และล่าสุดได้มีการนำ คาร์บอนไฟเบอร์มาใทำสายนาฬิกา

    อย่างไรก็ดีบางครั้งได้มีการนำหนังลูกวัวมาตอกลายนูนเพื่อให้เกิดเป็นลวดลายที่ดูคล้ายกับหนังเทศ ในกรณีเช่นนี้จะเรียกสายหนังประเภทนี้ว่า สายหนังลายนกกระจอกเทศ (Ostrich-Look) หรือสายหนังลายตะกวด (Lizard-Look) เป็นต้น   ส่วนคำว่าตอกลายนูน (Embossed) และลายเมล็ดข้าวนั้น(Grain)ได้มีการนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงการตกแต่งลวดลายเหล่านี้ อย่างเช่นตอกกลายหนังจระเข้หรือลายหนังนกกระจอกเทศ ยังมีสายนาฬิกาอีกหลายชนิดซึ่งทำมาจากวัสดุ   สังเคราะห์ อาทิ ไนลอน พลาสติก ยาง เเละเคฟลาร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความเหนียวเป็นพิเศษซึ่งมีการนำไปใช้เพื่อทำเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนวัสดุต่างๆเหล่านี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงสำหรับการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกาสปอร์ตเพราะว่ามีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถทนต่อสภาวะอากาศได้เป็นอย่างดี
   สารพัดวัสดุเหล่านี้ถูกนำมาผสมผสานกันและกลายเป็นเรือนเวลาสวยและทรงคุณค่า  นี่เฉพาะเเค่ภายนอกเท่านั้นหากลงลึกถึงชิ้นส่วนกลไกภายในที่ทำงานด้วยแล้วจะยิ่งเห็นถึงความหลากหลายของวัสดุที่นำมาใช้ในการประดิษฐ์นาฬิกาแต่ละเรือน

บทความดีๆจากเว็บฟิสิกส์ราชมงคล
http://www.electron.rmutphysics.com

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561

นาฬิกาอัจฉริยะสำหรับนักผจญภัย Casio PROTREK WSD-F20-WE Limited Edition


คาสิโอประเทศญี่ปุ่นประกาศผ่านทางเว็บไซต์ของคาสิโอเมื่อวันที่10 มกราคม 2018 เปิดตัวนาฬิกาข้อมือตระกูล Protrek รุ่น WSD-F20-WE เป็นลิมิเต็ดอิดิชั่นผลิตเพียง 1500เรือน มาพร้อมกับหน้าปัดใหม่แบบสัมผัส "Journey" ขนาด 1.32นิ้ว Dual Layer Display แสดงผลทั้งสีและขาวดำ สี 320×300 pixels ใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟน แสดงตำแหน่งในแผนที่รับสัญญาณ GPS ขนาดตัวเรือน 61x58x15mm น้ำหนัก 92กรัม กันน้ำลึก 50 เมตร ฟังก์ชั่นใช้งานสำหรับนักผจญภัยเพียบใช้กับ Android เวอร์ชั่น 4.3 ขึ้นไปส่วนท่านที่ใช้ไอโฟน iOS 9 ขึ้นไป

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

Casio G-Shock GAW-100CX-4A Limited Edition


คาสิโอเอาใจแฟนๆชาวจีนที่เป็นสาวก G-Shock ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงด้วย นาฬิกา G-Shock GAW-100CX-4A สีแดงสีที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสีแห่งโชคลาภ ขนาดตัวเรือนและฟังก์ชั่นก็คือตระกูล GAW-100 กล่องและแพคเกจสีแดงเหมาะแก่การมอบเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสพิเศษ แฟนๆชาวไทยที่สนใจคงต้องตามล่าในเว็บเอาครับ
ขนาดตัวเรือน 52x17mm
งานนี้ G-Shock จับมือกับนักร้องแรพเปอร์ชื่อดังแห่งแดนมังกร MC HotDog

วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วิธีดูสายสแตนเลสไซโก้ปลอม

สายสแตนเลสไซโก้รุ่นเก่า สำหรับท่านที่เก็บสะสมนาฬิกาไซโก้เวลาเลือกซื้อนาฬิกาไซโก้เก่ามือสองอาจจะ มีโอกาสเจอครับ เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าตัวนาฬิกาข้อมือมีการใช้งานที่ยาวนานทำให้สายเกิดความเสีย หายซึ่งอาจจะหาสายเดิมไม่ได้ หรือไม่ก็ผู้ขายต่อต้องการประหยัดต้นทุน จึงนำสายปลอมมาใส่แทนอีกประเด็นคือความไม่รู้ไม่ว่ากรณีใดก็แล้วแต่ มีข้อสังเกตุคือ ผิวโลหะจะไม่มันเงา และน้ำหนักของปลอมจะเบากว่าของแท้ เนื่องจากไม่ใช่ สแตนเลสคุณภาพสูงเหมือนของจริงและที่สำคัญคำว่า Seiko ตรงบานพับจะไม่คมชัดเจนเหมือนของจริง ตามรูป พอดูเป็นแนวทางได้ครับ



วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การเรืองแสงของพรายน้ำ



การเรืองแสงของพรายน้ำ 
ในเวลากลางคืนที่ไม่มีแสงจากภายนอกเข้ามากระทบบนหน้าปัดนาฬิกา แต่เรากลับมองเห็นตัวเลขหรือจุดต่างๆ บนหน้าปัดนาฬิกาได้ โดยมองเห็นเป็นแสงสีเขียวนั้นเป็นเพราะว่าเกิดปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า phosphorescence หรือ การเรืองแสง นั่นเอง ซึ่งแสงสีเขียวที่เรามองเห็นนั้นเรียกว่า "พรายน้ำ" phosphorescence เป็นปรากฏการณ์ที่คู่กับ fluorescence แต่ในชีวิตประจำวันเราจะชินกับ fluorescence มากกว่า (เช่นหลอดไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านทั่วไป) ปรากการณ์ทั้ง 2 อย่างนี้แตกต่างกันเล็กน้อยดังนี้คือ fluorescence คือการเรืองแสงของสสารบางอย่างที่จะเกิดการเรืองแสงเมื่อมีพลังงาน เช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าตกกระทบ เมื่อรังสีจากภายนอกหยุดตกกระทบการเรืองแสงก็จะหยุดทันที สำหรับ phosphorescence คือการเรืองแสงที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่สารเรืองแสงได้รับพลังงาน เช่น รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า (เช่น แสงสว่าง) และเมื่อสารเรืองแสงไม่ได้รับพลังงานจากภายนอกแล้ว การเรืองแสงก็ยังไม่หยุดในทันที จะเกิดการเรืองแสงต่อไปอีกสักพักหนึ่งแล้วจึงหยุดการเรืองแสง
 พรายน้ำบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเรืองแสงได้เพราะได้รับแสงสว่างจากภายนอก เช่น หลอดไฟ มาก่อน เมื่อเราดับไฟแล้วพรายน้ำก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่ก่อนที่เราจะมองไม่เห็น
การที่บางครั้งเราตื่นนอนตอนดึกแล้วเห็นนาฬิกายังมีแสงสีเขียวเรืองแสงอยู่ได้ก็เพราะว่า กลางดึกที่เราคิดว่ามืดนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้มืดสนิท ยังคงมีแสงสว่างจากที่ใดที่หนึ่งแย่หรือแสงสว่างในห้องเพียงลางๆ ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้หน้าปัดนาฬิกาข้อมือเกิดการเรืองแสงได้ แต่ถ้าเก็บนาฬิกามีพรายน้ำในที่มืดสนิทจริงๆ ก็จะไม่มีการเรืองแสงขึ้น
ซึ่งสารเรืองแสงนี้ทำมาจากสารเคมีบางชนิด ส่วนใหญ่เป็นสารประกอบของกำมะถัน หรือ ซัลไฟด์ เช่น แคลเซียมซัลไฟด์ (CaS) แบเรียมซัลไฟด์ (BaS) โดยใช้สารเคมีเหล่านี้ฉาบหรือผสมอยู่

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เครื่องวัดเวลา‏


เราทุกคน รู้ดีว่าเวลาคืออะไร แต่หากจะให้อธิบายความหมายของเวลา เราหลายคนอธิบายไม่ได้ และถึงแม้จะอธิบายไม่ได้ แต่เราก็รู้ว่าเวลามีการเปลี่ยนแปลงโดยสังเกตดูการหมุนของโลกจากกลางคืนสู่ กลางวัน และกลับกลางคืนอีก เราเรียกเวลาที่โลกหมุน รอบตัวเองหนึ่งรอบว่าหนึ่งวัน หรือดูการเปลี่ยนแปลงของฤดู จากฤดูร้อนเป็นฤดูฝนแล้วเปลี่ยนไปเป็นฤดูหนาว จากนั้นก็หวน กลับมาสู่ฤดูร้อนอีก เราเรียกเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบหนึ่งรอบว่า 1 ปี เป็นต้น

ไม่มีใครรู้ชัดว่ามนุษย์เริ่มสามารถบอกเวลาและวัดเวลาได้ตั้งแต่เมื่อใด แต่นักประวัติศาสตร์ก็ได้พบหลักฐานที่แสดงว่า เมื่อ 3,500 ปีก่อนนี้ คนอียิปต์โบราณได้เป็นชนชาติแรกที่รู้จักใช้นาฬิกาเงาวัดเวลา เมื่อสังเกตเห็นความยาวของเงาต้นไม้และเงาของตนขณะ อยู่กลางแจ้งว่าขึ้นกับตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า เขาจึงคิดใช้ความยาวของเงาเป็นดัชนีชี้บอกเวลาของวัน โดยนำท่อนไม้สั้น และยาวมาอย่างละท่อนแล้ววางตัดกันเป็นรูปตัว T เมื่อถึงยามเช้า เขาก็นำที่ทำด้วยไม้สองท่อนนี้ วางกลางแดดโดยวางให้ ไม้ท่อนสั้นรับแสงอาทิตย์ จากนั้นก็ใช้ความยาวของเงาไม้ที่ปรากฎไม้ท่อนยาวบอกเวลาและเมื่อถึงเวลา เที่ยงวัน ซึ่งเป็นเวลาที่ ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะและเงาไม้ท่อนสั้นมีความยาวสั้นที่สุด
เขาก็กลับทิศทางของนาฬิกาโดยหันไม้ท่อนสั้นไปทางทิศตะวันตก แล้วใช้ความยาวของเงาบอกเวลาในยามบ่ายอีก ส่วนในเวลากลางคืน ชาวอียิปต์โบราณไม่ใช้นาฬิกา เพราะเชื่อว่าในขณะนั้นโลก ไม่มีเวลาใดๆ นาฬิกาเงาที่ชาวอียิปต์ประดิษฐ์ขึ้นนี้มีข้อดีคือ การมีรูปร่างที่กะทัดรัดทำให้คนใช้นาฬิกาสามารถนำมันติดตัวไป ไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย แต่ความผิดพลาดก็มากคือประมาณ 15 นาที/วัน


เมื่อมนุษย์มีความเป็นอารยะมากขึ้น เทคโนโลยีการวัดเวลาได้วิวัฒนาการขึ้น ชาวกรีกได้เริ่มรู้จักแบ่งเวลาให้วันหนึ่งๆ ออกเป็น 2 ช่วงเท่าๆ กัน และได้ประดิษฐ์นาฬิกาน้ำขึ้นมาเพื่อวัดเวลา เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว และเรียกนาฬิกาที่ประดิษฐ์ว่า clepsydra ซึ่งมาจากคำว่า (cleps + hydra = ขโมย+น้ำ) เพราะนาฬิกานี้ทำด้วยภาชนะดินเผาที่มีรูที่ก้นภาชนะเพื่อให้น้ำไหลออก โดยชาว กรีกถือว่าเวลาหนึ่ง clepsydra คือเวลาที่น้ำใช้ในการไหลรั่วออกจากภาชนะจนหมด และนี่คือที่มาของคำ clepsydra ซึ่งแปลตรงๆ ว่าขโมยน้ำ ดังนั้นก่อนที่มนุษย์จะรู้จักคำว่า ชั่วโมง (hour) ในการบอกหน่วยของเวลา มนุษย์จึงนับเวลาเป็นหนึ่ง สอง สาม… clepsydra ก่อน และความคลาดเคลื่อนในการวัดเวลาของนาฬิกาประเภทนี้ก็ประมาณ 15 นาที/วันเช่นกัน

นาฬิกาทรายก็เป็นอุปกรณ์วัดเวลาอีกประเภทหนึ่งที่ชาวก รีกโบราณรู้จักใช้บอกเวลา โดยเขาจะนำทรายมาบรรจุในส่วนบนของภาชนะที่ทำด้วยแก้วเพื่อให้เห็นการเคลื่อน ที่ของเม็ดทรายแล้วปล่อยให้เม็ดทรายทยอย ไหลผ่าน คอคอดเล็กๆ ที่ต่อระหว่างส่วนบนกับ ส่วนล่างของภาชนะลงสู่ส่วนล่างของภาชนะ ในการทำนาฬิกาทรายนี้ คนทำจะต้องกำหนดของภาชนะบรรจุทรายและปริมาณ ทรายที่ใช้บรรจุให้พอเหมาะพอดี เพื่อให้เม็ดทรายทยอยไหลลงหมดพอดีในเวลาหนึ่งชั่วโมงและเมื่อนาฬิกาทรายนี้ นักทำด้วยแก้ว ดังนั้น มันจึงมีชื่อเรียกในบางครั้งว่า hourglass




นอกจากนาฬิกาแดด น้ำ และทรายแล้ว ผู้คนในสมัยโบราณยังรู้จักใช้วัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ อีกหลายชนิดเป็นนาฬิกาเช่น ใช้เทียนไข น้ำมัน ฯลฯ ทำนาฬิกาเทียนไขและนาฬิกาน้ำมัน เป็นต้น โดยการอ่านเครื่องหมายที่ขีดบนลำเทียนซึ่งจะแสดงเวลาที่เนื้อเทียนได้ถูกเผา ไหม้ไป หรือในกรณีของนาฬิกาน้ำมันก็เช่นกัน คนเอสกิโมจะเอาน้ำมันใส่ภาชนะที่มีเครื่องหมายบอกระดับความลึกของน้ำมัน ดังนั้น เวลาจุดตะเกียงน้ำมันที่ซึมผ่านเส้นด้ายไปหล่อเลี้ยงเปลวไฟตลอดเวลา จะทำให้ความลึกของน้ำมันในภาชนะลดลงๆ และระดับความลึกของน้ำมันนี้ก็สามารถชี้บอกเวลาที่ผ่านไปได้เช่นกัน

เมื่อวันเวลาผ่านไป มนุษย์มีความสามารถมากขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ เริ่มมีความทันสมัยมากขึ้น ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในปี พ.ศ. 1903 โลกได้รู้จักนาฬิกาที่ทำงานโดยอาศัยเครื่องจักรกลเป็นครั้งแรก เมื่อพระเจ้า Charles ที่ 5 ของฝรั่งเศส ได้ทรงจ้างวิศวกรชื่อ Henri de Vick ให้สร้างนาฬิกาติดในหอคอยพระราชวังของพระองค์ ซึ่งนาฬิกาที่ทำขึ้นนี้มีน้ำหนักถึง 250 กิโลกรัม เพราะประกอบ ด้วยลูกตุ้มเหล็กซึ่งแขวนติดที่ปลายเชือกแล้วให้เส้นเชือกพันรอบท่อนไม้ เมื่อปล่อยลูกตุ้มเหล็ก น้ำหนักที่มหาศาลของมันจะดึงเชือก ลงทำให้ท่อนไม้หมุน ในขณะเดียวกัน ชิ้นส่วนต่างๆ ที่โยงติดอยู่กับท่อนไม้ก็จะเคลื่อนที่ด้วย ตุ้มหนักจึงเปรียบเสมือนแหล่งพลังงาน ของนาฬิกา ความเทอะทะของนาฬิกาชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนนิยมใช้แต่ประการใด จนกระทั่ง Peter Henlein ได้พบว่า สปริง สามารถทำให้นาฬิกาเดินได้ ในราวปี พ.ศ. 2000 จากนั้น เทคโนโลยีการทำนาฬิกาก็ได้วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วคือ นาฬิกามีขนาดเล็กลง และเดินเที่ยงตรงขึ้นๆ จนผิดพลาดไม่เกิน 1-2 วินาทีใน 1 วัน



เทคโนโลยีการทำนาฬิกาได้ก้าวกระโดดไปอีกระดับหนึ่ง เมื่อ Galileo Galilei ได้สังเกตเห็นว่าตะเกียงที่แขวนห้อยจากเพดาน ของมหาวิหารในเมือง Pisa ไม่ว่าจะแกว่งมากหรือน้อยเพียงใด เวลาที่มันใช้ในการแกว่งไป-มา ครบหนึ่งรอบนั้นจะเท่ากันเสมอ ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2184 Galileo จึงให้บุตรชายที่มีนามว่า Vincenzio Galilei สร้างนาฬิกาที่ทำงานโดยใช้ลูกตุ้ม pendulum เป็นตัวควบคุมเวลา จากนั้นเทคโนโลยีการทำนาฬิกาที่เดินอย่างเที่ยงตรงก็ได้รับการพัฒนามากขึ้นๆ และเมื่อถึงยุคคริสต์ศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีการวัดเวลาที่เราได้ยึดมาตรฐานว่า เวลา 1 วันคือเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเองครบหนึ่งรอบก็เริ่มแสดงให้นักวิทยาศาสตร์ รู้ว่าโลกมิได้หมุนรอบตัวเองครบหนึ่งรอบในแต่ละวันๆ นั้นเท่ากัน บางวันมันก็หมุนเร็ว บางวันมันก็หมุนช้า ดังนั้น มาตรฐานหรือ คำจำกัดความของ 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง หรือ 86,400 วินาที ที่ใช้บอกเวลาในการหมุนรอบตัวเองของโลกก็ต้องเปลี่ยน

ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2510 สถาบัน Bureau International des Poids et Measures จึงได้กำหนดมาตรฐานของคำว่า วินาทีใหม่ โดยให้เป็นเวลาที่คลื่นลูกหนึ่งที่อะตอมของธาตุ cesium 133 ปลดปล่อยออกมาใช้ในการเคลื่อนที่ได้ครบ 9,192,631,770 รอบ และเมื่อเวลานี้สม่ำเสมอไม่ว่าอะตอมของ cesium จะอยู่ ณ ที่ใดในจักรวาล เวลานี้จึงเป็นเวลามาตรฐานได้และโดยอาศัยการทำงาน ของ cesium ในการบอกเวลาเช่นนี้ นาฬิกาปรมาณูจึงละเอียด แม่นยำ และเที่ยงตรงกว่านาฬิกาลูกตุ้มเฟนดูลัมถึง 7 ล้านเท่า ณ วันนี้ นาฬิกา cesium ของ National Institute of Standards and Technology ที่ Boulder ในรัฐ Colorado สหรัฐอเมริกา และที่ Laboratoire Primaire du Temps et des Frequences กำลังครองแชมป์การเป็นนาฬิกาที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ในโลก คือถ้าหากให้นาฬิกาทั้งสองนี้เดินนาน 20 ล้านปี มันจะเดินได้ไม่ผิดและไม่พลาดเกิน 1 วินาที หรืออาจจะพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า นาฬิกานี้วัดเวลาได้ถูกถึง 0.0000000000000015 วินาที

เมื่อ 1,600 ปีก่อน นักบวช St. Augustine ได้เคยปรารภว่า "ในขณะที่เรากำลังวัดเวลาอยู่นี้ เรารู้หรือเปล่า ว่า เวลามาจากไหน และเวลากำลังเดินทางผ่านอะไรอยู่ และมันกำลังจะไปไหน"

วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นาฬิกาออโตเมติกหรืออัตโนมัติ จักรกลแห่งกาลเวลา

นาฬิกาออโตเมติกหรืออัตโนมัติ จักรกลแห่งกาลเวลา

รู้จักลานนาฬิกา

การไขลานขดสปริงใน นาฬิกามีลักษณะคล้ายกับการไขลาน ของเล่นที่มีกลไกทั้งหลาย แต่ภายใน นาฬิกาไขลานจะมีกลไกบางชิ้นที่ทำ หน้าที่คอยหน่วงการคลายตัวของขด สปริงให้คลายตัวทีละน้อย และคลาย เป็นจังหวะ ทำให้นาฬิกาไขลาน สามารถเดินต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน แตกต่างจากของเด็กเล่นที่เมื่อปล่อยมือ ออกจากที่ไขลานแล้ว ขดสปริงที่อยู่ ภายในจะคลายตัวอย่างรวดเร็ว

นาฬิกาเป็นอุปกรณ์บอกเวลาที่มีประวัติการพัฒนามายาวนาน มนุษย์ออกแบบและประดิษฐ์อุปกรณ์บอกเวลาแบบต่างๆ มาตั้งแต่สมัย โบราณอย่าง นาฬิกาแดด นาฬิกาทราย และนาฬิกาน้ำ เป็นต้น ต่อมา จึงพัฒนาเป็นนาฬิกากลไกที่ใช้การไขลาน ใช้ตุ้มน้ำหนัก และใช้ พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบที่ปรากฏในปัจจุบัน

แต่มีนาฬิกาชนิดหนึ่งไม่ต้องไขลาน ไม่ต้องใส่ถ่าน เพียงแค่ใส่ ทุกวัน มันก็จะเดินเองได้ตลอด เราเรียกนาฬิกาชนิดนี้ว่า “นาฬิกา อัตโนมัติ” (Automatic Watch) เหตุใดนาฬิกาชนิดนี้จึงทำงานได้โดยไม่ ต้องใช้ถ่าน ไม่ต้องคอยไขลาน เพียงแค่หยิบมาเขย่าๆ หรือผูกข้อมือไว้ มันก็ทำงานได้ คำถามต่างๆ เหล่านี้คงเคยเกิดขึ้นในใจของหลายคน บทความนี้จะได้นำท่านไปรู้จักความลับของนาฬิกาอัตโนมัติ และหลัก การทำงานของนาฬิกาอัตโนมัติ


เริ่มที่นาฬิกาไขลาน

ก่อนจะไขปริศนาการทำงานของนาฬิกาออโตเมติกหรืออัตโนมัติ เราควรเข้าใจหลักการทำงานของนาฬิกา ไขลานซึ่งเป็นต้นแบบของนาฬิกาอัตโนมัติก่อน
ในอดีตนาฬิกาทั้งหมดจะทำงานด้วยระบบ กลไกซึ่งอาศัยพลังงานขับเคลื่อนจากการแกว่งตัวของตุ้มน้ำหนักหรือการคลายตั วของขดสปริง
อย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับนาฬิกาที่ใช้ ขดสปริงมักเป็นนาฬิกาไขลานขนาดเล็ก ซึ่งความถี่ ของระยะเวลาไขลานนาฬิกาแต่ละเรือนนั้นอาจจะ เป็นทุกวันหรือทุก 2-3 วันขึ้นอยู่กับความสามารถใน การเก็บกักพลังงานของลานสปริงในนาฬิกาแต่ละ ยี่ห้อ แต่ละรุ่น

 
อับราแฮม หลุยส์ เปอร์เรเลทกับนาฬิกามีกลไกไขลานอัตโนมัติ

การเกิดกลไกไขลานอัตโนมัติ

ช่วงก่อนทศวรรษที่ 1880 นั้น อุตสาหกรรม นาฬิกายังไม่มีการผลิตนาฬิกาข้อมือออกวางจำหน่าย นาฬิกาแบบพกพาได้ในยุคนั้นเป็นนาฬิกาแบบมีสาย โซ่คล้อง (fob watch) ตัวเรือนมีขนาดใหญ่กว่า นาฬิกาข้อมือปัจจุบัน การไขลานนาฬิกาต้องใช้ กุญแจไขลาน (key wind) ซึ่งเป็นอุปกรณ์แยกจาก ตัวเรือนนาฬิกา แตกต่างกับนาฬิกาไขลานส่วนใหญ่ ในปัจจุบันที่มีกุญแจไขลานติดอยู่ที่ตัวเรือนนาฬิกา เลย และการไขลานนาฬิกาจนเต็มแต่ละครั้งจะทำให้ นาฬิกาสามารถเดินต่อเนื่องได้นานประมาณ 1 วัน ดังนั้นเจ้าของจึงต้องคอยไขลานนาฬิกาเป็นประจำทุก วัน หากวันไหนลืมไขลานหรือบังเอิญทำกุญแจ ไขลานหาย นาฬิกาก็หยุดเดินโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้ช่างนาฬิกาชาวสวิสชื่อ อับราแฮม หลุยส์ เปอร์เรเลท (Abraham-Louis Perrelet) จึง คิดประดิษฐ์นาฬิกาพกที่มีกลไกอัตโนมัติคอยไขลาน แทนเจ้าของขึ้น ซึ่งเขาประดิษฐ์และพัฒนากลไกนี้ สำเร็จในปี ค.ศ. 1770 โดยอับราแฮมออกแบบให้ตัว


กลไกอัตโนมัติประกอบด้วยตุ้มน้ำหนักขนาดใหญ่ติด อยู่กับแกนที่มีชุดกลไกและชุดฟันเฟือง เมื่อเจ้าของ พกนาฬิกาติดตัวไปในขณะเดินจะทำให้ตัวเรือน นาฬิกามีการแกว่ง ซึ่งทำให้ตุ้มน้ำหนักที่อยู่ภายใน แกว่งตัวด้วย การแกว่งตัวของตุ้มน้ำหนักทำให้ เกิดแรงบิด (torque) ไปหมุนชุดกลไกและ ชุดเฟืองซึ่งจะไปไขลานสปริงต่อในที่สุด นี่ คือหลักการทำงานของกลไกการไขลานอัตโนมัติ
ผลงานการประดิษฐ์ของอับราแฮมได้รับการ ตอบรับจากสาธารณชนเป็นอย่างดี โดยมีหลักฐาน เป็นเอกสารรายงานฉบับหนึ่งที่ออกมาในปี ค.ศ. 1777 โดยสมาคมศิลปะเมืองเจนีวา (The Geneva Society of Arts) ระบุถึงนาฬิกาชนิดนี้ว่า เพียงผู้ ใช้พกนาฬิกาอัตโนมัติติดตัวและเดินเป็นระยะเวลา 15 นาที ก็ทำให้นาฬิกาเดินต่อเนื่องได้นานถึง 8 วัน ในรายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า แม้นาฬิกา อัตโนมัติจะราคาแพงกว่านาฬิกาพกอย่างดียี่ห้ออื่นถึง 2 เท่า แต่มันก็ยังขายได้
 อย่างไรก็ตาม นาฬิกาของอับราแฮมก็ยังมี จุดด้อยอยู่ เนื่องจากนาฬิกาอัตโนมัติในยุคนั้นมีขนาด ค่อนข้างใหญ่ ผู้ใช้จึงมักพกนาฬิกาไว้ในกระเป๋าเสื้อ แทนการห้อย ทำให้นาฬิกาไม่แกว่งตัวมากอย่างที่ ควร กลไกการไขลานอัตโนมัติจึงไม่สามารถทำงานได้ เต็มที่ ส่งผลให้นาฬิกาตามแบบของอับราแฮมหยุด เดินบ่อย
 ถัดจากนั้นมา การพัฒนาชิ้นส่วนกลไกของ นาฬิกาอัตโนมัติก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ กระทั่งถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในปี ค.ศ. 1923 เมื่อ ช่างซ่อมนาฬิกาชาวอังกฤษชื่อ จอห์น ฮาร์วูด (John Harwood) สามารถบรรจุกลไกการไขลาน อัตโนมัติลงในนาฬิกาข้อมือสำเร็จ ด้วยลักษณะการ เคลื่อนไหวข้อมือในอิริยาบถท่าทางต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นการยกมือ การแกว่งแขวน การสะบัดมือ ฯลฯ เหล่านี้ ทำให้ตัวเรือนนาฬิกาที่ผูกติดกับข้อมือ เคลื่อนไหวไปตามการขยับของข้อมือและแขน และ ทำให้ตุ้มน้ำหนักภายในมีการแกว่งตัวมากกว่าวิธีพก นาฬิกาแบบเดิม กลไกการไขลานอัตโนมัติจึงทำงาน ได้เต็มที่ ส่งผลให้ขดสปริงถูกไขลานทุกครั้งที่ผู้สวมใส่ นาฬิกาขยับข้อมือหรือหยิบนาฬิกามาเขย่า แต่ นาฬิกา (ข้อมือ) อัตโนมัติตามแบบของจอห์น สามารถเดินต่อเนื่องได้เพียง 12 ชั่วโมงเท่านั้นเมื่อ ไขลานจนเต็ม

กลไกของนาฬิกาอัตโนมัติ

กลไกของนาฬิกาไขลานทั่วไป


ภาพแสดงตุ้มน้ำหนักรูปพัด

คำว่า crown (คราวน์) ในภาษาอังกฤษแปลว่า มงกุฎ แต่ในภาษาเรื่องนาฬิกา คำนี้หมายถึง ปุ่มเล็กๆ ข้างตัวเรือนที่ใช้ไขลานนาฬิกา ซึ่งคนไทย เรียกปุ่มนี้ว่า “เม็ดมะยม” ไม่ใช่มงกุฎ


(ซ้าย)นาฬิกาอัตโนมัติรุ่นหนึ่งของ Vacheron Constantin สามารถบอกเวลาเป็นนาที ชั่วโมง วันในรอบสัปดาห์ วันที่ในรอบเดือน

(ขวา)นาฬิกา Vacheron Constantin รุ่น Tour de l’Ile นาฬิกาอัตโนมัติที่ประกอบ ด้วย 2 หน้าปัดในเรือนเดียวกัน ผลิตออกมาเพียง 7 เรือนเท่านั้น เป็นนาฬิกาอัตโนมัติที่มี ระบบการทำงานสลับซับซ้อนมากที่สุด ตัวเรือนมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 36.0 มิลลิเมตร และ หนา 11.25 มิลลิเมตร ผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ภายในอัดแน่นด้วยชิ้นส่วนกลไกจำนวน มากถึง 834 ชิ้น เมื่อนาฬิกาถูกไขลานจนเต็มจะสามารถเดินต่อเนื่องได้นานถึง 58 ชั่วโมง นาฬิการุ่นพิเศษนี้มีความสามารถพิเศษหลายอย่าง นอกจากจะบอกเวลาได้แล้ว ยังสามารถ บอกวันในรอบสัปดาห์ วันที่ เดือน วันข้างขึ้นข้างแรม มีระบบปฏิทินร้อยปี สามารถแสดง กลุ่มราศีบนท้องฟ้า ฯลฯ ประติมากรรมทางจักรกลแห่งกาลเวลาที่เป็นผลิตผลจากการร่วมทำงานมากกว่า 10,000 ชั่วโมงของทีมวิศวกร ทีมออกแบบ รวมถึงช่างนาฬิกา สนนราคา 2,570,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เท่านั้น!)

นาฬิกาอัตโนมัติ : ไม่ใช่แค่อุปกรณ์บอกเวลา

 นาฬิกาที่ทำงานด้วยระบบกลไกทุกเรือนไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาอัตโนมัติหรือนาฬิกาไขลานต่างมีจุด ด้อยเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ มันบอกเวลาไม่เที่ยงตรง เทียบเท่ากับนาฬิกาควอตซ์ ไม่ว่านาฬิกาเรือนนั้นจะ ยี่ห้อหรู มีชื่อเสียง และมีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม เนื่องจากการทำงานของนาฬิกาอัตโนมัติอาศัยการ เคลื่อนไหวของชิ้นส่วนกลไกทั้งหมด ต่างจากนาฬิกา ควอตซ์ที่มีผลึกควอตซ์เป็นหัวใจของการรักษาความ เที่ยงตรง และนาฬิกาควอตซ์มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว น้อยชิ้นกว่า หรือไม่มีชิ้นส่วนใดเคลื่อนไหวเลยอย่าง ในนาฬิกาดิจิทัล นั่นทำให้นาฬิกาอัตโนมัติส่วนใหญ่บอกเวลาคลาดเคลื่อนในระดับ (+) หลายวินาทีต่อวัน ขณะที่นาฬิกาควอตซ์จะบอกเวลาคลาดเคลื่อนหนึ่ง วินาทีใช้เวลาหลายวัน
แต่ประเด็นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับ เจ้าของนาฬิกาอัตโนมัติยี่ห้อดังต่างๆ เพราะการดู เวลาที่เที่ยงตรงจริงสามารถดูจากบรรดาอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์พกพาอย่างโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์พีดีเอ หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กทดแทนได้ ส่วนนาฬิกาอัตโนมัติ ยี่ห้อดังบนข้อมือนั้น แม้จะบอกเวลาคลาดเคลื่อนไป เล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะมันยังมีอีกบทบาท ในฐานะเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องบ่งบอกฐานะ ทางสังคมบนข้อมือของผู้สวมใส่ด้วย

จักรกลอันซับซ้อน

ณ วันนี้ความรู้ทางวิศวกรรมและเทคโนโลยี ด้านต่างๆ ได้พาให้นาฬิกาอัตโนมัติก้าวหน้าไปมาก จนหลายคนอาจคาดไม่ถึง นาฬิกาอัตโนมัติหลายยี่ห้อ หลายรุ่นที่ได้ชื่อว่า นาฬิกาซับซ้อน (complicated watch) เพราะมีความสามารถพิเศษอื่นนอกเหนือจากการบอกเพียงวันและเวลา นาฬิกาบางรุ่น สามารถบอกวันในรอบสัปดาห์ บอกวันที่ในรอบเดือน บอกเดือน บอกวันข้างขึ้น-ข้างแรม หรือมีระบบ ปฏิทินร้อยปี (perpetual calendar) ด้วย ขณะที่ นาฬิกาบางรุ่นมีความสามารถพิเศษจับเวลาได้


ดังนั้นหากในเวลานี้ท่านมีนาฬิกาอัตโนมัติใน ครอบครอง ลองมองที่หน้าปัดบอกเวลาแล้วจินตนาการว่า เวลาที่เข็มนาฬิกาเลื่อนไปทีละนิดนี้ มาจากการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนกลไก ขดสปริง และชุดฟันเฟืองล้วนๆ ที่หมุนไปหมุนมา ไม่ได้มาจาก ตัวไอซีที่มีชุดคำสั่งตายตัว (โปรแกรม) แล้ว มันอาจ ทำให้ท่านรู้สึกทึ่งว่า ผู้ออกแบบสามารถออกแบบ ระบบกลไกที่ซับซ้อนเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร??

ออโตเมติกควอตซ์ (Automatic Quartz): นาฬิกาควอตซ์ใส่กลไก อัตโนมัติ นี่เป็นพัฒนาการอีกขั้นของนาฬิกาอัตโนมัติ

นาฬิกาออโตเมติกควอตซ์เป็นนาฬิกาที่นำระบบจักรกล มาใช้ร่วมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างเหมาะเจาะ นาฬิกามีส่วนประกอบของตุ้มน้ำหนักและชุดเฟืองซึ่ง เป็นจุดเด่นในระบบกลไกไขลานอัตโนมัติ และใช้ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีจุดเด่นเรื่องความเที่ยงตรงสูง แบบนาฬิกาควอตซ์ ซึ่งบริษัทแรกที่คิดประดิษฐ์และ ผลิตนาฬิกาออโตเมติกควอตซ์ออกมาจำหน่ายคือ บริษัทไซโก้ (Seiko) ประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทได้ผลิต นาฬิกาชนิดนี้ออกจำหน่ายครั้งแรกในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1988 แต่ระยะแรกนาฬิกาใช้ชื่ออย่างไม่เป็น ทางการว่า ไซโก้ออโตควอตซ์ (Seiko Auto- Quartz) นาฬิการุ่นแรกสามารถเดินต่อเนื่องได้นาน 75 ชั่วโมง ต่อมาในปี ค.ศ. 1991 บริษัทไซโก้จึง เปลี่ยนชื่อนาฬิกาออโตเมติกควอตซ์ของบริษัทเป็น ไซโก้คิเนติก Seiko Kinetic และใช้จนถึงปัจจุบัน

หลักการทำงาน ไซโก้คิเนติก

ดังที่ได้กล่าวไปในตอนต้นแล้วว่า ส่วน ประกอบภายในของนาฬิการะบบคิเนติก ประกอบด้วยชุดวงจรอิเล็กทรอนิกส์แบบนาฬิกา ควอตซ์ และชุดตุ้มน้ำหนักและชุดเฟืองแบบนาฬิกา ออโตเมติก แต่นอกจากส่วนประกอบ 2 ชุดนี้แล้ว นาฬิกาชนิดนี้ยังมีชุดเก็บพลังงาน (หรือแบตเตอรี่) และชุดกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กด้วย
การทำงานของนาฬิการะบบคิเนติกเริ่ม จากการแกว่งตัวของตุ้มน้ำหนักโดยการเขย่านาฬิกา หรือการขยับข้อมือ แต่แทนที่ชุดเฟืองซึ่งต่ออยู่กับตุ้ม น้ำหนักจะทำหน้าที่ไขลานเหมือนกับนาฬิกาออโตเมติก ชุดเฟืองในนาฬิกาคิเนติกจะทำหน้าที่หมุน โรเตอร์ (rotor) ในชุดกำเนิดกระแสไฟฟ้า ตัว โรเตอร์ประกอบด้วยแม่เหล็กถาวรขนาดจิ๋วมีเส้นผ่าน ศูนย์กลางเพียง 2.66 มิลลิเมตร และหนา 0.4 มิลลิเมตรเท่านั้น ด้วยการทดรอบจากตัวเฟืองขนาด ต่างๆ ของชุดเฟืองทำให้โรเตอร์ถูกหมุนด้วยความเร็ว สูงมากประมาณ 10,000-100,000 รอบ/นาที ทำให้ เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำ กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะไหลเข้าวงจรควบคุม และชุดเก็บ พลังงาน โดยวงจรควบคุมจะทำหน้าที่ควบคุมทั้งการ ทำงานของมอเตอร์ขับเคลื่อนเข็มนาฬิกาบนหน้าปัด และควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ชุดเก็บ พลังงาน

ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ เข้าด้วย กัน ทำให้นาฬิกาคิเนติกมีจุดเด่นคือ นาฬิกาสามารถบอกเวลาได้เที่ยงตรงกว่านาฬิกา อัตโนมัติมาก นาฬิกาไซโก้ คิเนติกมีความคลาด เคลื่อนในการบอกเวลาประมาณ 1-2 วินาทีต่อ สัปดาห์เท่านั้น ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยเหมือน นาฬิกาควอตซ์ (แต่ยังต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่อยู่) นอกจากนี้หากถอดนาฬิกาวางไว้ มันจะยังสามารถ เดินต่อเนื่องได้อีกหลายสิบวันโดยอาศัยพลังงาน ไฟฟ้าที่สะสมในชุดเก็บพลังงานจากวันนั้นจนถึงวันนี้นาฬิกาออโตเมติก ควอตซ์ได้ถูกพัฒนากระทั่งแต่ละรุ่นมีสมบัติพิเศษ แตกต่างกันออกไป นาฬิกาออโตเมติกควอตซ์ของไซโก้ รุ่นหนึ่งถูกออกแบบให้มีสมบัติพิเศษสามารถลดการ ใช้พลังงานไฟฟ้าภายในได้เองหากตัวนาฬิกาถูกวางนิ่งๆ ไว้นานเกิน 3 วัน (72 ชั่วโมง) โดยเข็ม นาฬิกาบนหน้าปัดจะหยุดเดิน กระแสไฟฟ้าจะถูกส่ง ไปเลี้ยงวงจรเวลาเท่านั้น คล้ายกับการเข้าสู่ภาวะ จำศีลของสัตว์ในเขตหนาว และเมื่อหยิบนาฬิกามา เขย่าหรือแกว่ง ก็เปรียบเหมือนการปลุกนาฬิกาขึ้น มาอีกครั้ง เข็มต่างๆ บนหน้าปัดจะหมุนไปหา ตำแหน่งเวลาปัจจุบันทันที(Kinetic Auto Relay) วิธีนี้ช่วยผู้ใช้โดยเมื่อหยิบ นาฬิการะบบคิเนติกมาสวมใส่ก็จะสามารถรู้ เวลาได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาตั้งนาฬิกา แม้ว่า นาฬิกาเรือนนั้นจะถูกถอดวางไว้ นานเป็นปีก็ตาม อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลง เล็กๆ ของนาฬิกาคิเนติกคือ บริษัทไซโก้ ได้ นำ ถ่านนาฬิกาแบบอัดประจุไฟฟ้าใหม่ได้ (Rechargeable Battery) ชนิดลิเทียมอิออนมาใช้ แทนตัวเก็บประจุ (Capacitor) บางส่วนของชุดเก็บ พลังงานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 แล้ว ทำให้นาฬิกา ทำงานอย่างต่อเนื่องได้นานยิ่งขึ้น แม้ผู้ใช้จะไม่ใส่ นาฬิกานานนับเดือน

กลไกภายในของนาฬิกาออโตเมติกควอตซ์ 2 แบบ เทคโนโลยีของบริษัทอีทีเอ (ซ้าย) เทคโนโลยีของบริษัทไซโก้ (ขวา)

ขดสปริง: ขุมพลังของนาฬิกา

ขดสปริงมีลักษณะเป็นเส้นโลหะแบนเล็กและยาว โดยทั่วไปนาฬิกากลไกทั้งแบบไขลานและแบบอัตโนมัติจะมีเส้นลานสปริงยาวประมาณ 200-300 มิลลิเมตร และหนาประมาณ 0.05-0.02 มิลลิเมตร โดยก่อนหน้าปี ค.ศ. 1945 โลหะที่นิยมนำมาทำขดสปริงคือ เหล็กกล้าคาร์บอน (carbon- steel) ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีโลหะก้าวหน้ามากขึ้น ผู้ผลิตนาฬิกาจึงเปลี่ยนมาใช้เหล็กกล้าผสมชนิดใหม่อย่าง เหล็กผสมนิกเกิล-โครเมียม-โคบอลต์- โมลิบดีนัม-เบริลเลียม ปัจจุบันขดสปริงมักผลิตจากเหล็กกล้าไร้สนิมชนิดที่ทนทานต่อแรงดึงยืดได้เป็นเวลานาน
 ทุกวันนี้มีการผลิตนาฬิกาออโตเมติกควอตซ์หรือคิเนติก หลากหลายยี่ห้อออกวางจำหน่ายในท้องตลาด แต่มี เพียงบางบริษัทเท่านั้นที่มีเทคโนโลยีออโตเมติก ควอตซ์เป็นของตนเอง แน่นอนว่า หนึ่งในไม่กี่บริษัท นั้นคือ บริษัทไซโก้ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกและครองส่วน แบ่งตลาดนาฬิกาออโตเมติกควอตซ์มากที่สุด ทั้งนี้ ไซโก้เป็นผู้ถือครองสิทธิบัตรในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ อยู่มากกว่า 50 ฉบับด้วยกัน ส่วนบริษัทอื่นที่มี เทคโนโลยีออโตเมติกควอตซ์นี้เช่น บริษัทอีทีเอ (ETA) ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในเครือสว็อท์ช (Swatch) บ ริ ษั ท ผ ลิ ต น า ฬิ ก า ที่ มี ชื่ อ เ สี ย ง ใ น ป ร ะ เ ท ศ สวิสเซอร์แลนด์ โดยนอกจากบริษัทจะผลิตนาฬิกา ออโตเมติกควอตซ์ภายใต้ยี่ห้อสว็อทช์แล้ว บริษัทยัง ผลิตตัวเครื่องนาฬิกาออโตเมติกควอตซ์ให้แก่นาฬิกา ยี่ห้ออื่นอย่าง Tissort, Longines, Herm่s (N omade), Cyma และยี่ห้ออื่นอีกด้วย

สปริงไดร์ฟ : ขับเคลื่อนด้วยสปริง นี่คือ อีกหนึ่งนวัตกรรมของนาฬิกาที่เกิดจาก ความคิดสร้างสรรค์ของวิศวกรบริษัทไซโก้ โดยทาง
บริษัทเริ่มวิจัยและพัฒนานาฬิการะบบนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 และใช้เวลาในการปรับปรุง พัฒนา เทคโนโลยีนี้ยี่สิบกว่าปี ที่สุดในปี ค.ศ. 1998 บริษัท ไซโก้ก็สามารถส่งนาฬิกาอัตโนมัติระบบใหม่นี้ออกวาง จำหน่ายได้สำเร็จในชื่อของไซโก้ สปริงไดร์ฟ (Seiko Springdrive) หรือนาฬิกาขับเคลื่อนด้วยสปริง
นาฬิกาไซโก้ สปริงไดร์ฟเป็นนาฬิกาที่มี ระบบการทำงานค่อนข้างซับซ้อนกว่านาฬิกาอัตโนมัติ ทั่วไป ส่วนประกอบภายในของนาฬิกาประกอบด้วย ชิ้นส่วนกลไกหลายอย่างเหมือนนาฬิกาอัตโนมัติ แต่มี ชุดกำเนิดไฟฟ้าเหมือนนาฬิกาออโตเมติกควอตซ์ และใช้ตัวไอซีหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับผลึก ควอตซ์เหมือนนาฬิกาควอตซ์ด้วย


การทำงาน
การทำงานของนาฬิกาเริ่มต้นจากแรงแกว่ง ตัวของตุ้มน้ำหนักจะถูกเปลี่ยนเป็นแรงหมุน ซึ่งจะส่ง ต่อให้ชุดเฟืองเพื่อไขลานขดสปริง (คล้ายกับการ ทำงานของนาฬิกาอัตโนมัติ) แต่การคลายตัวของขด สปริงจะเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งชุดเฟืองของเข็มนาฬิกา และตัวโรเตอร์ของชุดกำเนิดไฟฟ้าให้ทำงาน
จุดสำคัญของเทคโนโลยีสปริงไดร์ฟอีกอย่าง คือ ในช่วงไม่กี่วินาทีแรกที่ชุดกำเนิดไฟฟ้าเริ่มทำงานนั้น โรเตอร์จะหมุนด้วยความเร็วประมาณ 16 รอบ/วินาที
กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจะจ่ายให้แก่วงจร อิเล็กทรอนิกส์ และใช้กระตุ้นผลึกควอตซ์ ขณะที่ กระแสไฟฟ้าอีกส่วนจะนำมาสร้างสนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าเพื่อใช้ควบคุมการหมุนของโรเตอร์ให้คงที่ที่ ความเร็ว 8 รอบ/วินาทีตลอด ดังนั้นตัวโรเตอร์ใน ระบบสปริงไดร์ฟนี้ นอกจากจะต้องทำหน้าที่ผลิต กระแสไฟฟ้าแล้ว ยังต้องคอยส่งข้อมูลการหมุนให้แก่ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วย เพื่อให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สามารถควบคุมโรเตอร์ให้หมุนด้วยความเร็วคงที่ได้ อย่างต่อเนื่องด้วยความซับซ้อนของการรวมเทคโนโลยี ต่างๆ เข้าด้วยกันทำให้นาฬิกาไซโก้ สปริงไดร์ฟ สามารถบอกเวลาได้เที่ยงตรงกว่านาฬิกาอัตโนมัติทั่วไป นาฬิการะบบนี้มีความคลาดเคลื่อนในการบอก เวลาเพียง +1 วินาที/วันเท่านั้น (ประมาณครึ่งนาที ต่อเดือน) ไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่หรือถ่านนาฬิกา ใดๆ และแม้นาฬิกาสปริงไดร์ฟจะมีระบบกำเนิด กระแสไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบหนึ่ง แต่ทางบริษัทก็ ถือว่าไซโก้สปริงไดร์ฟเป็นนาฬิกาอัตโนมัติ (เพราะเข็มนาฬิกาเดินได้โดยการหมุนหรือการเคลื่อนไหว ของชิ้นส่วนกลไกทั้งหลาย) นอกจากนี้ทางบริษัทไซโก้ ยังนำอัลลอยชนิดพิเศษมาใช้ทำขดสปริงของนาฬิกา ไซโก้ สปริงไดร์ฟด้วย ทำให้นาฬิกาที่ถูกไขลานจน เต็มสามารถเดินต่อเนื่องได้นานถึง 72 ชั่วโมงมาก กว่านาฬิกาอัตโนมัติทั่วไปที่เดินต่อเนื่องได้ประมาณ 40 ชั่วโมง

นาฬิกาอัตโนมัติ – ผลิตผลที่เกิดจากการรวมศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน

คุณค่าของจักรกล
เมื่อพูดถึงนาฬิกาอัตโนมัติ คนส่วนใหญ่จะนึกถึงนาฬิกาแบบเข็มมีราคาค่อนข้างแพง ไม่ต้องใส่ ถ่าน เมื่อถอดวาง 1-2 วันมันก็หยุดเดินเอง และ อื่นๆ แต่มีข้อสังเกตบางอย่างที่น่าสนใจคือ แม้ นาฬิกาอัตโนมัติจะเป็นจักรกลเพียงไม่กี่ชนิดที่ทำงาน ด้วยระบบกลไก แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีคนให้ความสนใจใฝ่ หามาครอบครองรวมทั้งสะสม เพราะว่านาฬิกายัง เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะของผู้สวมใส่ด้วย

มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ นาฬิกา

อัตโนมัติเป็นจักรกลที่ผู้ผลิตนิยมเพิ่มมูลค่าด้วยการนำ วัสดุมีค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอัญมณีหรือโลหะมีค่ามา ประกอบ ตรงข้ามกับนาฬิกาดิจิทัลที่นิยมเพิ่มมูลค่า จากความไฮเทคมากกว่าความหรูหรา สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผู้เรียบเรียงอดคิดไม่ได้ว่า นาฬิกาอัตโนมัติ น่าจะเป็นตัวแทนของสิ่งประดิษฐ์ใกล้ตัวที่สามารถนำ ทั้งศาสตร์วิชาการ และศิลปะมาผสมผสานกันได้ อย่างกลมกลืนก็เป็นได้

บทคความดีๆจาก
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
บุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์

จริงหรือไม่ที่ว่านาฬิกานั้นเป็นแค่เครื่องบอกเวลาหรือเครื่องประดับ

 ก่อนที่ทุก ๆ ท่านจะอ่านบทความนี้ ผมมีคำถามเล็ก ๆ สำหรับทุก ๆ คน โดยขอท่านตั้งคำถามสำหรับตัวท่านในใจว่า นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของท่านที่...