แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ TAG Heuer แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ TAG Heuer แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประวัตินาฬิกาดำน้ำTAG Heuer Diver


 Heuer หรือ TAG Heuer ที่เราๆท่านๆรู้จักกันนั้นมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1860 ก่อตั้งโดย Edouard Heuer ภาพลักษณ์ของแบรนด์นี้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็คือ แบรนด์นาฬิกาที่โดดเด่นด้านการจับเวลาและนาฬิกาสำหรับกิจกรรมหลายๆ รูปแบบ รวมถึงการใช้งานอย่างมืออาชีพ นาฬิกาไลน์ต่างๆของTAG Heuer ในปัจจุบันนั้นก็มีให้เลือกหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็ฯกลไกโครโนกราฟ นาฬิกาแบบสปอร์ตต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเร็ว รวมไปถึงนาฬิกาแบบสปอร์ตต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเร็ว รวมไปถึงนาฬิกาดำน้ำหลากรุ่นถ้ามองเผินๆแล้ว ไลน์นาฬิกาดำน้ำของ TAG Heuer เหมือนพึ่งจะกำเนิดมาไม่นาน แต่แท้จริงแล้ว TAG Heuer หรือ Heuer ในอดีตได้สร้างนาฬิกาดำน้ำรุ่นยอดเยี่ยมอย่าง Heuer 1000m  มาตั้งแต่ยุค 1980 แล้ว เรียกว่า นานพอที่จะกล่าวได้ว่า TAG Heuer หรือ Heuer นั้นก็ผลิตนาฬิกาสำหรับการดำน้ำมืออาชีพได้ยอดเยี่มไม่แพ้แบรนด์ใดๆ

นาฬิกาดำน้ำนั้นไม่ใช่แค่เป็นหนึ่งในไลน์ประกอบ ให้ครบรุ่นขายของ Heuer อย่างที่เข้าใจกัน แต่ยังสามารถสร้างยอดขายได้อย่างถลมทลายชนิดไม่เคยมีมาก่อน ดังที่ Jack Heuer ประธานกิตติมศักดิ์ Tag Heuer กล่าวไว้ ''ในยุคปลายปี 1970 นั้น แบรนด์นาฬิกาอื่นๆประสบปัญหาด้านยอดขายอย่างหนักแต่เรายังคงสามารถภขายนาฬิกาของเราไปได้เรื่อยๆ เพราะเราเป็นผู้นำด้านนาฬิกาสปอร์ตและจับเวลา นอกจากจะขายในร้านนาฬิกาแล้ว ก็ยังมีอยู่ในร้านอุปกรณ์กีฬาด้วย ในตอนนั้นนาฬิกาสำหรับตลาดดำน้ำนั้นเป็นการขายเฉพาะกลุ่มและไม่ได้ขายให้ง่ายๆให้กับคนทั่วไป ทำให้เรารู้ว่ามีผู้คนมากมาย ที่ต้องการนนาฬิกาที่สามารถกันน้ำได้ดีกว่านาฬิกาปกติ เราจึงเริ่มผลิตนาฬิกาสำหรับดำน้ำโดยมีชื่อบริษัทผู็ผลิตอุปกรณ์ดำน้ำอย่าง  Spirotechnique ประดับไว้บนหน้าปัด คุณเชื่อไหมว่า นาฬิกาดำน้ำของเราขายดีจนเราประสบปัญหาเรื่องการผลิตและส่งมอบเลยทีเดียว เพราะยอดขายนั้นมากมายมหาศาล''  ทีนี้ก็มาถึงพระเอกของเราที่ Heuer และ TAG Heuer ได้ผลิตออกมาในยุคปี 1980 ที่ตั้งเป้าหมายว่านาฬิกาซีรีย์นี้จะเป็นนาฬิการะดับ Super Professional หรืออีกนัยนึงก็คือ นาฬิกาสำหรับการใช้งานมืออาชีพระดับสูงนั้นเอง ที่มีขั้นตอนการผลิตละเอียดละออ ตัวนาฬิกามาพร้อมกับอุปกรณ์มืออาชีพครบชุด โดยออกแบบระหว่างปี 1982 ถึง 1992

 โดยมีทั้งกลไกควอตซ์และกลไกอัตโนมัติ และมีรุ่นพิเศษอย่าง TAG Heuer Spirotechnique ที่นักสะสมรู้จักกันป็นอย่างดี กลับมารุ่นต้นกำเนิดอย่าง Heuer 1000m Diver m ที่เปิดตัวสู่ตลาดในปี 1982 ตัวหน้าปัดและเข็มนั้น ใช้ชุดเดียวกับซีรีย์1000 เมตร และขนาดตัวเรือนจะมีขนาดใหญ่ถึง 41.5  มิลลิเมตร กระจกหน้าปัดผลิตจากมิเนอรัล คริสตัล แบบเรียบซึ่งเป็นอะไรที่แปลกอยู่เล็กๆ เพราะนาฬิกาดำน้ำในยุคนั้นจะเน้นแบบโดมนูนลอยออกมาจากหน้าปัดมากว่า และถือว่าสนาฬิการุ่นนี้เป็นนาฬิกาที่ตัวเรือนใหญ่และหนักที่สุดรุ่นหนึ่งในขณะนั้น ขอบจับเวลาบนหน้าปัดหมุนจับเวลาได้ 60 นาที เม็ดมะยมแบบขันเกลียวหมุนทำงาน 4 นาฬิกา หลังจากเข้ามาของกลุ่ม TAG (Techniquesd"Avant Garde ) ในปี 1985 ทำให้นาฬิการุ่นนี้มีตราสัญลักษณ์ว่า TAG เพิ่มเติมด้านบนของคำว่า Heuer ด้วย และรุ่น TAG Heuerb1000m ก็ถูกผลิตอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 1991 และเป็นนาฬิกาดำน้ำระดับตำนานแบบหนึ่งที่ผลิตขึ้นมาในปัจจุบัน TAG Heuer ก็ยังคงไว้ซึ่งการผลิตนาฬิกาดำน้ำอันยอดเยี่ยมอยู่เสมอมาซึ่งหลักการออกแบบนาฬิกาดำน้ำในปัจจุบัน ก็ล้วนแต่นำการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นในอดีตแทบทั้งสิ้น รวมถึงรุ่น 100m ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อไดที่คุณใส่นาฬิกาดำน้ำของ TAG Heuer ขอให้พึงระลึกเสมอว่านาฬิกาเรือนที่คุณใส่อยู่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมและประวัติอันน่าจดจำของ TAG Heuer ครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก
#หนังสือQP
#www.calibre11.com

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

TAG HEUER. Mikrotimer Flying 1000. Concept Chronograph‏

ตอกย้ำศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าแห่งนาฬิกาสปอร์ตอีกครั้ง TAG Heuer (แทค ฮอยเออร์) คว้ารางวัล 'Best Sports Watch' (เบสต์ สปอร์ตส วอช) อันทรงเกียรติมาครองตามความคาดหมายด้วยผลงานต้นแบบแห่งการพัฒนาระบบจับเวลาอันเหนือระดับ Mikrotimer Flying 1000 Concept Chronograph (ไมโครไทเมอร์ ฟลายอิ้ง 1000 คอนเซ็ปต์ โครโนกราฟ) กับสุดยอดจักรกลที่สามารถจับเวลาได้ละเอียดสูงสุดถึง 1/1,000 วินาที จากกลไกไขลานโครโนกราฟ Cal.Mikrotimer Flying 1000 ที่ติดตั้งเป็นอิสระอยู่บนกลไกหลักซึ่งเป็นกลไกอัตโนมัติ โดยจักรกลไขลานโครโนกราฟชุดพิเศษนี้ทำงานด้วยความถี่สูงถึง 3,600,000 ครั้ง/ชั่วโมง ขณะที่กลไกภาคเดินทำงานที่ความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมงแต่ความสามารถของผลงานชิ้นนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะสามารถแสดงค่าจับเวลาในรายละเอียดที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าจับเวลา 1/100 วินาที 1/10 วินาที 5 วินาที และ 60 วินาที มีพลังงานสำรองสำหรับฟังก์ชั่นจับเวลานาน 150 วินาที โดยที่ค่าสำรองพลังงานของกลไกอัตโนมัติภาคแสดงเวลาอยู่ที่ 42 ชั่วโมง จัดวางฟังก์ชั่นแสดงค่าต่างๆ อย่างลงตัวและง่ายต่อการอ่านค่าบนพื้นหน้าปัดสีเข้มรับกับตัวเรือนสปอร์ตมาดเข้มขนาด 45.0มิลลิเมตรที่ผลิตจากไทเทเนียมเคลือบผงไทเทเนียมคาร์ไบน์ ฝาหลังผนึกคริสตัลแซพไฟร์เพื่ออวดการทำงานของชุดจักกลอกอันทรงประสิทธิภาพจากเครื่องทั้ง 2 ชุด นับเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการมหัศจรรย์ที่ควรค่าแก่รางวัลอย่างยิ่ง

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

The Time, The Watch & The Wardrobe‏

ในช่วงชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งก็คงจะมีโอกาสให้ซื้อนาฬิกาได้อยู่หลายเรือน อาจจะเป็น Swatch ที่ซื้ออย่างไม่ได้คิดอะไรมากนัก หรือนาฬิกาเรือนแรกที่ซื้อเมื่อเริ่มทำงาน และนาฬิกาที่คนรักซื้อให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน QP เลือกนาฬิกามานำเสนอคุณ 5 เรือนครับ เพื่อให้ครบทุกมู้ดทุกอารมณ์ทุกสไตล์ความชอบและทุกโอกาสที่จะสวมใส่

IWC Pilot Mark XVI


IWC Mark II เป็นนาฬิกานักบินยอดนิยมตลอดกาลรุ่นหนึ่ง และ Mark XVI ก็เป็นตัวแทนที่คู่ควรด้วยเครื่องที่ทนทานและเที่ยงตรง หน้าปัดเรียบง่ายอ่านเวลาสะดวก ทั้งหมดอยู่ในตัวเรือนที่แข็งแกร่ง เรียกได้ว่าแกร่งพอที่จะใส่เล่นกีฬาได้ แต่ถ้าจะใส่ไปงานเลี้ยงหรูๆ ก็ไม่ดูผิดที่ผิดทางแต่อย่างใด เป็น "นาฬิกาจริงๆ" เรือนแรกสำหรับข้อมือคุณได้เลย

Rolex Submariner

Rolex Submariner
นาฬิกาสุดคลาสสิก Submariner รุ่นแรกออกสู่สายตาประชาชนในปี 1954 และทุกวันนี้ก็เป็นนาฬิกาหรูที่ผู้คนรู้จักแพร่หลายที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก Submainer เป็นนาฬิกาแบบชัวร์ๆ ที่บ่งบอกถึงความมีระดับแต่ไม่ต้องมีลูกเล่นอะไรเยอะเกินไป เมื่อมีนาฬิการุ่นนี้อยู่บนข้อมือก็เหมือนกับว่าคุณได้เดินทางมาถึงความสำเร็จจุดสำคัญระดับหนึ่งในชีวิตแล้ว


Jaeger-LeCoulter Reverso

Jaeger-LeCoulter Reverso เป็นนาฬิกาที่มีดีไซน์โดดเด่นที่สุดรุ่นหนึ่งในโลกอยู่แล้วและในปีนี้ก็มีอายุครบ 80 ปีพอดิบพอดีด้วย นาฬิการุ่นนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุค 1930 สำหรับนักกีฬาโปโลในอินเดียสมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ตัวเรือนของนาฬิการุ่นนี้สามารถหมุนพลิกกลับได้เพื่อปกป้องตัวเองจากการกระทบกระแทกขณะลงสนาม Reverso นี้ใส่กันได้ใส่กันดีตั้งแต่เซเลบจนถึงเจ้าขุนมูลนาย Reverso เป็นนาฬิกาอมตะเหนือกาลเวลาซึ่งไม่ว่าจะปรับและเปลี่ยนอย่างไรก็ไม่เคยทิ้งลุคอาร์ตเดคโค่เดิมๆ ไปเลย


Ulysses Nardin

พอคุณมีนาฬิกาเบๆ ครบทุกอารมณ์แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะก้าวขึ้นไปเล่นอะไรที่แปลกและแตกต่างบ้าง Ulysse Nardin Freak Diavolo เป็นนาฬิกาที่แหวกแนวได้สะใจเหมือนกับ Ulysse Nardin อีกหลายรุ่นก่อนหน้านี้ มีเทคโนโลยี วัสดุ และดีไซน์อันล้ำสมัย ที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งการทดลองและคิดค้นของแบรนด์ เช่นเดียวกับพี่น้องในตระกูล Freak รุ่น Diavolo ของปี 2011นี้ ถือเป็นนวัตกรรมที่มีความเทคนิคอลอย่างเต็มเปี่ยมและผลิตในจำนวนจำกัดจริงๆ เช่นนี้แล้วจึงทำให้ Ulysse Nardin เป็นแบรนด์ที่ผู้คนให้ความสนใจด้วยเหตุผลดีๆ ทั้งสิ้น

TAG Heuer Monaco‏

Heuer Monaco รุ่นแรกออกสู่ตลาดเมื่อปี 1969 เป็นนาฬิกาที่ที่มีทั้งสไตล์และประวัติอันน่าสนใจ นาฬิการุ่นนี้เป็นนาฬิกาจับเวลาเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติรุ่นแรกๆ และเป็นนาฬิกาที่ Steve McQueen ใส่ในภาพยนตร์รถแข่งเรื่อง Le Mans ในปี 1972 ทุกวันนี้ Monaco ยังคงเป็นนาฬิกาที่มีความพิเศษแตกต่างจากนาฬิกาทั่วไป และผู้ใส่จะต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่งด้วย

บทความดีๆ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
QP-DEVOTED TO FINE WATCHES Thai Edition
Issue 39 September

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สิบสุดยอดนาฬิกาโครโนกราฟวินเทจที่นักสะสมปรารถนา‏

.Breguet Type XX รุ่นแรก
.Breitling Navitimer ปี 1960-1965
.Breitling Top-Time
.นาฬิกาทหารเยอรมัน Heuer Bundeswehr ยุค 1970 หรือที่เรียกว่า '3H'
.Lemania กองทัพเรืออังกฤษ ยุค 1950
.Omega Speedmaster Professional ก่อนปี 1968
.Panerai Mare Nostrum ยุค 1990
.Patek Philippe Reference 1463
.Rolex Zerograph
.Universal- Geneve Space Compax



นาฬิกาโครโนกราฟจับเวลายังคงครองจิตใจของนักสะสมจำนวนมากได้ แม้ในวันนี้โลกเราจะมีนาฬิกาจับเวลาควอตซ์ความเที่ยงตรงสูงมากมาย ทั้งยังมีแอพในโทรศัพท์ที่จับเวลาได้เหมือนกันอีก และที่เป็นสุดยอดแห่งสุดยอดของวงการจับเวลาก็คือ


นาฬิกาจับเวลาแบบสปลิทเซ็กเกินด์ครับ เพราะสามารถจับเวลา 2 สิ่งที่เริ่มต้นพร้อมกันได้ นักสะสมบางคนก็จะชอบเครื่องที่เป็นกลไกคอลัมวีลมากกว่าแบบโอเวอร์แคม และเมื่อไม่นานมานี้ แบรนด์อย่าง TAG Heuer, Montblanc และ Breitling ก็ออกนาฬิกาจับเวลาที่มีมาร์คเกอร์แบบติดตรึงอยู่กับที่ออกมาและไม่มีเข็มกวาดไปรอบๆ แบบปกติ แต่จะใช้จานหมุนเพื่อช่วยจับเวลาแทน Patek Philippe และ Rolex




ก็มีเครื่องนาฬิกาจับเวลาอินเฮ้าส์เป็นของตนเองแล้วตั้งแต่เมื่อราว 10 ปีก่อน และเมื่อไม่นานมานี้ Breitling ก็เปิดตัวเครื่องนาฬิกาจับเวลาอินเฮ้าส์รุ่นใหม่ถอดด้าม ส่วนเครื่องนาฬิกาจับเวลาของ Bremont นั้น ก็บรรจุอยู่ในกรงฟาราเดย์เพื่อปกป้องตัวเครื่องจากแรงกระทำของสนามแม่เหล็ก


เมื่อปีที่แล้ว Zenith ก็นำเสนอเครื่องนาฬิกาจับเวลาที่มีความละเอียดถึง 1/10วินาทีออกมา และที่งาน Baselworld 2011 ปีนี้ TAG Heuer ก็เผยโฉมนาฬิกาจับเวลาจักรกลเรือนแรกของโลกที่สามารถจับเวลาได้ละเอียดถึง1/1000 วินาที และในงานเดียวกันนี้เองเราก็ได้เห็นการกลับมาอย่างงดงามของนาฬิกาจับอวลาเรือนเด่นจาดอดีตอีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น Heuer Monza Breitling Transocean และ Glycine SST ทั้งหมดสวยงามไร้ที่ติจรองๆครับ



บทความดีๆ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
QP-DEVOTED TO FINE WATCHES Thai Edition
Issue 39 September



วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

อินเฮ้าส์ตัวจริง‏ (ต่อจากตอนที่แล้ว)


" ตอนนี้ Escapement ที่ใช้คือ Clinergic ของสวิสซึ่งเดินที่ความถี่สูง 28,800 VPH ชุด Balance ประเด็นที่น่าสนใจก็คือหลังจากที่ TAG Heuer ได้พัฒนาเครื่องใหม่ ให้มีความบางลงเล็กน้อย 7.13 มิลลิเมตร ในขณะที่เส้นผ่าศูนย์กลางของเครื่องก็ยาวขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับขนาดของนาฬิกาในปัจจุบันที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้นมากนักคือ 29.3 มิลลิเมตร สรุปก็คือเป็นเครื่องขนาดกำลังดี ไม่ได้บางพิเศษอะไรสำหรับเครื่องจับเวลากลไกอัตโนมัติ อย่างเครื่อง EI Primero ก็หนาเพียง 6.5 มิลลิเมตร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเครื่องรุ่นนี้ขนาดกำลังดีและไม่ได้ใหญ่เกินไป ทำให้ TAG Heuer สามารถนำไปใส่ในตัวเรือนนาฬิกาทั้งที่มีขนาดใหญ่และเล็กได้ "

" ที่สำคัญคือว่าเครื่องรุ่นนี้ได้รับการขัดแต่งอย่างเหมาสมตามมาตรฐานสวิส ทั้งลาย Cotes de Geneve ลายก้นหอย การลบเหลี่ยมมุมด้วยกระบวนการ Diamond Polishing พร้อมกับใช้ Blue Colum Wheel ด้วยสกรูว์คุณภาพดี และเครื่องนาฬิการุ่นนี้ยังเดินดีอีกด้วย " Roberts กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า " TAG Heuer สมควรมีสิทธิ์เรียกเครื่องรุ่นนี้ว่าเป็นเครื่องอินเฮ้าส์ได้แล้ว ในกรณีนี้ผมว่าเราสามารถพูดได้แล้วว่านี่คือเครื่องอินเฮ้าส์ของ TAG Heuer อย่างแท้จริง เหตุผลน่ะหรือครับ ก็เพราะว่า TAG Heuer เขาออกแบบเครื่องนี้ใหม่หมดแล้วและผลิตทุกชิ้นส่วนเอง "

ขยายกำลังและศักยภาพ‏
เนื่องด้วยขนาดของ TAG Heuer จึงมีความน่าจะเป็นว่าบริษัทจะต้องการเก็บเครื่องทั้งหมดที่ผลิตไว้ใช้เอง แต่ก็คงจะเป็นเรื่องตลกไม่ใช่เล่นหากวันหนึ่ง TAG Heuer มีกำลังการผลิตเครื่องได้มากพอที่จะขายให้กับแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่สามารถผลิตเครื่องขึ้นใช้เองได้หลังจากที่ Swatch Group เลิกขายเครื่องให้แล้ว ปัจจุบันนี้ TAG Heuer มีกำลังในการผลิต เริ่มต้นที่ 25,000 เครื่องต่อปี และมีแผนในการเพิ่มอัตราอีก 10,000 เครื่องต่อปี ขณะนี้ TAG Heuer ใช้เครื่องรุ่นดังกล่าวในนาฬิกาเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น หลังจากนี้ก็น่าจะมีการโมดิฟายเพิ่มเติมเพื่อการใช้งานในนาฬิการุ่นอื่นๆ ต่อไป



ดังที่ Roberts กล่าวว่า " เครื่องรุ่นนี้มีต้นทุนในการผลิตสูงมาก แต่ถ้าคุณสามารถผลิตได้ 50,000 เครื่อง ต้นทุนก็จะลดลง และถ้าคุณทำได้อีก 200,000 เครื่อง ต้นทุนก็จะยิ่งลดลงมาอีก ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ไปปีต่อปีความคุ้มในการผลิตก็จะเกิดขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนของการซื้อเครื่อง Valjoux นี่เป็นเหตุผลหลักที่หลายต่อหลายบริษัทเริ่มผลิตเครื่องอินเฮ้าส์กันเอง ผมไม่คิดว่าอยู่ดีๆ TAG Heuer หรือ Breitling จะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างนี้หากไม่ได้เป็นกังวลเรื่องการจะเลิกเครื่องให้ในอนาคต " หนึ่งข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ก็คือราคาค่าตัวของ Carrera Calibre 1887 ซึ่งตั้งไว้ถูกเหลือเชื่อเพียง £ 2,350 เท่านั้น

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

TAG HEUER CALIBRE 1887‏



เลขรุ่น 1887 ของเครื่องตัวใหม่ของ TAG Heuer นี้มีที่มาจากปีที่ Edouard Heuer คิดค้นระบบ Oscillating Pinion ขึ้น แต่เมื่อ TAG Heuer เปิดตัวเคร่ืงรุ่นนี้โดยระบุว่าเป็นเครื่องที่พัฒนาขึ้นเองแบบอินเฮ้าส์ทั้งหมดRobers ก็ได้รับทราบมาจากการประชุมกับวิศวกรของ TAG Heuer ว่าทางแบรนด์ได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องรุ่นดังกล่าวเพิ่มเติมอย่างน่าสนใจหลายประการมาตั้งแต่ที่เริ่มลงมือมาตั้งแต่ปี 2007
" เครื่องรุ่นนี้มีกลไกการจับเวลาแบบ Column Wheel และ Oscillating Pinion ซึ่งก็บังเอิญเป็นนวัคกรรมของ TAG Heuer ในปี 1887 เรียกได้ว่าเป็นเครื่องนาฬิกาจับเวลาที่มีความสวยงามรุ่นหนึ่งเลย "
" เราจะเห็นได้ว่าเครื่องรุ่นนี้ใช้ Balance Spring และ Shock Absorber แบบใหม่เพื่อเน้นเรื่องประโยชน์ใช้สอยก่อนรูปลักษณ์ "



เมื่อ Roberts ได้วิเคราะห์เครื่อง Calibre 1887 ในรายละเอียดแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่านี่คือเครื่องที่ผ่านการคิดค้นใหม่โดยสมบูรณ์ อินเตอร์เฟชระหว่างเครื่องเบสและกลไกจับเวลาของเครื่องรุ่นนี้ทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ กล่าวคือมี Oscillating Pinion ทำหน้าที่เชื่อมต่อชุดเกียร์โดยการเคลื่อน Pinion ในทิศทางแนวนอนเพื่อเข้าสัมผัส แต่อย่างที่ Roberts กล่าวว่า " แฟชั่นล่าสุดซึึ่งเราจะได้มาดูกันต่อไปในเครื่องของ Breitling ก็คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่า Vertical Clutch ซึ่งก็ทำงานเหมือนกับครัทช์ในรถยนต์นี่แหละครับ เป็นชิ้นส่วนที่ช่วยให้คุณสามารถสั่งเริ่มต้นและหยุดการทำงานของกลไกจับเวลาได้ ระบบที่สามซึ่งเป็นแบบคลาสสิกเลยก็คือการใช้ Spur Gear ซึ่งสามารถควบคุมให้เริ่มต้นหรือหยุดการทำงานได้ด้วย Coupling Device "



วิศวกรรมล้ำเลิศ‏
" หากจะให้เปรียบเทียบก็คงพูดได้ว่าระบบของ TAG Heuer เป็นระบบที่ดีมาก มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นที่ประจักษ์ว่ามีการใช้งานกันในเครื่องนาฬิกาจำนวนมากกว่าระบบอื่นๆ ทั้งหมดรวมกัน "
Roberts ทราบมาว่า TAG Heuer ต้องใช้เวลากับการออกแบบวิศวกรรมกลไกเป็นอย่างมาก " ดีไซเนอร์ของเขาต้องออกแบบเครื่องใหม่หมด เพื่อเริ่มดูว่าจะผลิตแต่ละชิ้นอย่างไร ขั้นตอนนี้ไม่ใช่อะไรง่ายๆ อย่างที่ใครอาจจะคิด การทำให้ได้ดีและมีความสมบูรณ์ในทางวิศวกรรมอย่างที่ TAG Heuer ทำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย "



" งานนี้เป็นงานที่ยากและละเอียดอ่อน และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้มีราคาถูกเท่านั้นแต่ยังออกแบบมาเพื่อให้ผลิตโดยเครื่องจักรอัตโนมัติที่มีความทันสมัยและเทคนิคการผลิตล่าสุดอีกด้วยชิ้นส่วนหลักของเครื่องทั้งเก้าชิ้น อาทิ Main Plate และ Bridge ทั้งหมดผลิตขึ้นที่โรงงาน Cormol ในเทือกเขาจูราของสวิส โรงงานแห่งนี้มีการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ล่าสุดจนเข้าขั้นเป็นโรงงานที่ล้ำสมัยที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ในขณะนี้ ส่วนการประกอบหลักนั้นทำที่โรงงานในลา โซซ์-เดอ-ฟงด์ส ซึ่งมีชื่อเรียกว่า T1 Assembly




" เกณฑ์สำคัญเกณฑ์หนึ่งของเขาเท่าที่ผมเข้าใจก็คือการเอาเครื่องอินส์เฮ้าส์ไปใส่ในนาฬิการะดับราคาเท่ากับที่ใช้เครื่อง Valjoux 7750 และ TAG Heuer ก็ทำเช่นนั้นได้จริงแล้วด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย เมื่อก่อนนี้เครื่อง 7750 นี่ซื้อหากันได้ในราคาถูกมากๆ แต่ในทุกวันนี้กลับมีราคาที่แพงขึ้น แล้ววิธีการผลิตเครื่องแบบใหม่นี้ก็จะเป็นการประหยัดมากกว่า ในขณะที่ Breitling เลือกแก้ปัญหาในอีกแนวทางหนึ่ง "
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่หนังสือ
QP - DEVOTEDV TO FINE WATCHES Thai Edition
Issue Thirty Dec . 2010


พรุ่งนี้มาต่อกันครับยังไม่จบ.....

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

All in the Movement เรื่องเครื่องเรื่องใหญ่‏




TAG Heuer
และ Breitling เป็นสองแบรนด์ที่แม้จะจัดอยู่ในระดับยักษ์ใหญ่แต่ก็ยังคงได้รับแรงกดดันให้พัฒนาเครื่องอินเฮ้าส์เป็นของตนเองเหมือนแบรนด์อื่นๆ ทั้งสองแบรนด์นี้มียอดการใช้เครื่อง ETA/Valjoux ปีละเป็นแสนเครื่องและจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่งจากปัจจัยเรื่องต้นทุน เงื่อนไขและการจัดส่งเครื่องจาก Swatch Group ผู้ผลิตซึ่งมีแผนจะเลิกสนับสนุนเครื่องในอนาคต ดังนั้น ณ นาทีนี้จึงไม่มีแบรนด์อื่นใดที่จะต้องเป็นกังวลเรื่องอนาคตของเครื่องเท่ากับ TAG Heuer และ Breitling อีกแล้ว
Ken Kessler และ Peter Roberts FBHI



TAG Heuer และ Breitling ต่างเลือกรับมือกับการตัดสินใจของ Swatch Group ที่จะเลิกส่งเครื่องให้บริษัทนอกเครือด้วยการพัฒนาเครื่องอินเฮ้าส์ขึ้นใช้เอง ในกรณีของทั้งสองแบรนด์นี้ต่างก็เลือกผลิตเครื่องนาฬิกาจับเวลากลไกอัตโนมัติเพื่อไม่ให้เสียค่าที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้ทั้งคู่ แต่เส้นทางในการพัฒนาของทั้งสองแบรนด์นั้นไม่เหมือนกันและบ่งบอกถึงความตั้งใจและกลยุทธ์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี QPจึงต้องจัดให้ช่างนาฬิกาใหญ่ Peter Roberts FBHI ไปวิเคราะห์ทั้งสองพัฒนาการนี้ สุภาพบุรุษท่านนี้เป็นชาวอังกฤษคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนช่างนาฬิกา WOSTEP แห่งสวิสและอดีตอาจารย์ประจำ Hackney Technical College ซึ่งเป็นที่ๆ Peter Speake-Marin และ Stephen Forsey เคยเรียนหนังสืออยู่ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของ Bremont ทั้งนี้ Roberts มีประสบการณ์หลายทศวรรษในการทำงานกับ rolex และแบรนด์อื่นๆ จึงถือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการออกแบบเครื่องนาฬิกาท่านหนึ่งของโลก

เลขรุ่น 1887 ของเครื่องตัวใหม่ของ TAG Heuer นี้มีที่มาจากปีที่ Edouard Heuer คิดค้นระบบ Oscillating Pinion ขึ้น แต่เมื่อ TAG Heuer เปิดตัวเคร่ืงรุ่นนี้โดยระบุว่าเป็นเครื่องที่พัฒนาขึ้นเองแบบอินเฮ้าส์ทั้งหมดRobers ก็ได้รับทราบมาจากการประชุมกับวิศวกรของ TAG Heuer ว่าทางแบรนด์ได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องรุ่นดังกล่าวเพิ่มเติมอย่างน่าสนใจหลายประการมาตั้งแต่ที่เริ่มลงมือมาตั้งแต่ปี 2007
" เครื่องรุ่นนี้มีกลไกการจับเวลาแบบ Column Wheel และ Oscillating Pinion ซึ่งก็บังเอิญเป็นนวัคกรรมของ TAG Heuer ในปี 1887 เรียกได้ว่าเป็นเครื่องนาฬิกาจับเวลาที่มีความสวยงามรุ่นหนึ่งเลย "
" เราจะเห็นได้ว่าเครื่องรุ่นนี้ใช้ Balance Spring และ Shock Absorber แบบใหม่เพื่อเน้นเรื่องประโยชน์ใช้สอยก่อนรูปลักษณ์ "
เมื่อ Roberts ได้วิเคราะห์เครื่อง Calibre 1887 ในรายละเอียดแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่านี่คือเครื่องที่ผ่านการคิดค้นใหม่โดยสมบูรณ์ อินเตอร์เฟชระหว่างเครื่องเบสและกลไกจับเวลาของเครื่องรุ่นนี้ทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ กล่าวคือมี Oscillating Pinion ทำหน้าที่เชื่อมต่อชุดเกียร์โดยการเคลื่อน Pinion ในทิศทางแนวนอนเพื่อเข้าสัมผัส แต่อย่างที่ Roberts กล่าวว่า " แฟชั่นล่าสุดซึึ่งเราจะได้มาดูกันต่อไปในเครื่องของ Breitling ก็คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่า Vertical Clutch ซึ่งก็ทำงานเหมือนกับครัทช์ในรถยนต์นี่แหละครับ เป็นชิ้นส่วนที่ช่วยให้คุณสามารถสั่งเริ่มต้นและหยุดการทำงานของกลไกจับเวลาได้ ระบบที่สามซึ่งเป็นแบบคลาสสิกเลยก็คือการใช้ Spur Gear ซึ่งสามารถควบคุมให้เริ่มต้นหรือหยุดการทำงานได้ด้วย Coupling Device "

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่หนังสือ
QP - DEVOTEDV TO FINE WATCHES Thai Edition
Issue Thirty Dec . 2010

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

JASON BUTTON ฉลองครบรอบ 150 ปี TAG Heuer ที่ Singapore


ก่อนที่จะถึงค่ำคืนของการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในรายการ Singapore F1 Grand Prix, Brand Ambassador ของ TAG Heuer และนักแข่งทีม Vodafone McLaren Mercedes และเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก นั่นคือ Jason Button ได้ร่วมในพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการของนาฬิกา TAG Heuer boutique รุ่นใหม่ซึ่งเป็นลำดับที่ 5 ของ TAG Heuer ที่ Marina Bay Sand. ในระหว่างงาน Jason Button ได้ทำพิธีร่วมกับ Mr. Tay Liam wee ประธานและกรรมการผู้จัดการของ Sincere watch limited, Mr. Ong Bang ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Sincerely Fine Watchs South Asia, Jean Christophe Babin และ Marc Lacave

หลังจากเสร็จพิธีการ Jason ได้ให้สำพาษท์กับสื่ิอ โดยเค้าเริ่มจากงานเลี้ยงฉลองในโอกาศครบรอบ 150 ปีของ TAG Heuer ซึ่งเค้าได้รับ นาฬิกาข้อ Chronograph รุ่น Special Singapore Limited Edition ที่ผลิตเพียง 100 เรือน ส่วน Jessica Michibata นางแบบชาวญี่ปุ่นและแฟนสาวของ Jason Button ก็ได้รับมอบนาฬิกา Formula One Lady's Ceramic Full Black Diamond นาฬิการุ่น Singapore Limited Edition สำหรับสุภาพสตรีรุ่นแรกที่ผลิตเพียง 250 เรือน จาก Jean Christophe Babin เช่นเดียวกัน

นาฬิกา หมายเลขหนึ่งของ Singapore Limited Edition ทั้งสองรุ่นนี้พร้อมกับหมวกกันน้อคที่ Jason Button ใช้ในการแข่งขัน

จะถูกบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อการกุศล MILK (Mainly I Love Kid) ในงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดขึ้นดดย Sincere Fine Watch ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ สำหรับการแข่งขันกรังปรี TAG Heuer จะโปรโมทนาฬิกาสายพันธ์มอร์เตอร์สปอร์ตของพวกเค้าด้วยสื่อโฆษณาและสิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งแอนิเมชั่นของ Lewis Hamilton และ Jason Button และงานแสดงของ Tag Heuer ที่ Marina Bay Sands

TAG Heuer ขอให้ทั้ง Lewis และ Jason โชคดีในการแข่งขันที่จะมาถึงในสุดสัปดาห์นี้

จริงหรือไม่ที่ว่านาฬิกานั้นเป็นแค่เครื่องบอกเวลาหรือเครื่องประดับ

 ก่อนที่ทุก ๆ ท่านจะอ่านบทความนี้ ผมมีคำถามเล็ก ๆ สำหรับทุก ๆ คน โดยขอท่านตั้งคำถามสำหรับตัวท่านในใจว่า นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของท่านที่...