วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

ข้อควรระวังสำหรับการเปลี่ยนถ่านนาฬิกาข้อมือ


สำหรับท่านที่ใช้นาฬิกาข้อมือระบบควอตซ์ หรือนาฬิกาที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ก้อนจิ๋วที่เราเรียกกันติดปากว่าถ่านกระดุม เมื่อถ่านหมดก็ต้องทำการเปลี่ยนเข้าศูนย์หรือหาช่างนาฬิกาข้างนอกทำก็สุดแล้วแต่ สำหรับท่านที่ต้องการเปลี่ยนเองแต่เราเป็นมือใหม่มีข้อควรระวังดังนี้

เครื่องมือ
-ต้องเตรียมให้พร้อมและถูกกับลักษณะฝาหลังที่ต้องการเปลี่ยน
-ซีลยางฝาหลังเสียไม่เสียเปลี่ยนไว้ก่อนและเลือกใช้ขนาดที่ถูกต้อง
-ซิลิโคนซีลยางฝาหลังเตรียมให้พร้อมแล้วทาด้วยเพื่อประสิทธิภาพการกันน้ำที่สมบรูณ์

ถ่าน
-ต้องเลือกใช้เบอร์ให้ถูกต้องตามสเปกเครื่อง
-ต้องมีอายุไม่เกินหนึ่งปีจากวันที่ผลิตจากโรงงาน

เปิดฝาหลังด้วยความระมัดระวัง บริเวณพื้นเรียบที่สามารถรองรับสกรูหรือน๊อตคือให้เรารวบรวมและมองเห็นได้ง่ายสำหรับ G-Shock จะมีสปริงตัวเล็กมากสองตัวต้องระวังอย่าให้หาย ไม่จำเป็นตัวเครื่องไม่ต้องเอาออกมาจากตัวเรือนนะครับมือใหม่ใจไม่ต้องถึงเดี๋ยวงานงอก แกะแค่ถ่านก็พอแล้วใส่กลับ หลังจากนั้นอย่าลืมวงจรลัด(ช๊อตเซอร์กิต) ระหว่างขั้วบวกกับขั้วลบ ก่อนปิดฝาเช็คว่านาฬิกาทำงานมั้ยแล้วค่อยปิดเท่านี้จะทำให้ท่านชุบชีวิตนาฬิกาข้อมือสุดรักกลับมามีชีวิตไปอีกนาน

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

กระจกนาฬิกาเป็นรอยขัดเองได้

วันนี้ผมจะพามารู้จักกับน้ำยาที่นักสะสมนาฬิกาควรมีไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน


PolyWatch คือชื่อของน้ำยาตัวนี้ รุ่นแรกๆของน้ำยาตัวนี้จะขัดได้เฉพาะกระจกพลาสติก (อะคริลิค) ซึ่งส่วนมากจะใช้ในนาฬิกาข้อมือวินเท็จยุคเก่าหน้าปัดมักมีลักษณะโค้งนูนและมักเกิดริ้วรอยได้ง่ายมาก ลักษณะน้ำยาตัวนี้จะเป็นสีขาวขุ่นเหมือนน้ำนมแต่มีความหนืดมากกว่า บรรจุมาในหลอดพลาสติกสีขาว วิธีการใช้งานน้ำยาผมเคยเขียนไว้แล้วตามลิ้งค์ด้านล่าง
ขัดหน้าป้ดนาฬิกาอะคริลิค(พลาสติก) ทำเองได้



PolyWatch Glass Polish ตัวนี้เป็นตัวที่ออกตามมาตัวนี้ใช้ขัดกระจกที่เป็นแก้วได้ บรรจุมาในหลอดคล้ายเข็มฉีดยามีสองหลอดในหนึ่งชุด ต้องใช้คู่กันเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่มีผลต่อกระจก
ทำให้หน้าปัดนาฬิกา กลับมาสดใสใฉไลเหมือเดิม วิธีการใช้งานก็ตามคลิปเลยครับ

การใช้งานมีสองขั้นตอนใช้น้ำยาตัวแรกลงก่อนจนริ้วรอยจางหายไปแล้วค่อยตามเก็บผิวด้วยตัวที่สอง ทำเองได้ไม่ยากใช่มั้ยครับ
ขอให้มีความสุขกับนาฬิกาที่ท่านรักนะครับ 
น้ำยาทั้งสองชนิดมีจำหน่ายที่ลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ
น้ำยาขัดหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ

วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

ขัดรอยขนแมวสำหรับท่านที่ใช้ นาฬิกาข้อมือ สายสเตนเลส

วันนี้มาขัดรอยขนแมวสำหรับท่านที่ใช้ นาฬิกาข้อมือ สายสเตนเลส
อุปกรณ์ก็ไม่มีอะไรมากครับ
1.น้ำยาขัดสายสเตนเลส
2.ผ้า
3.Cotton Butt



มาเริ่มกันเลยครับ ก่อนเปิดฝาน้ำยา เขย่าตลับน้ำยาก่อนครับ
 หลังจากนั้นนำ Cotton Buttทีเราเตรียมไว้ จุ่มน้ำยาขัด
แล้วนำมาทาที่สายนาฬิกา ขัดไปแนวเดียวกัน ไปกลับ
สักพัก ตัวน้ำยาจะทำปฏิกิริยากับสาย โดยสังเกตุเห็นจะเป็นสีดำๆ








หลังจากนั้น นำผ้าที่เตรียมไว้ มาขัดซ้ำไปมา แนวเดียวกัน
ขัดไปเรื่อยๆครับ จะเห็นว่าริ้วลอยจะค่อยจางลง
หลังจากนั้น ทำตามขัดตอนเดิมซ้ำ อีก2-3รอบ จนรอยจางหาย
ไป 





เป็นอันเสร็จพิธี


ปล.น้ำยาขัดสายสเตนเลส มีขายตามร้านขาย
อะไหล่นาฬิกาหรือร้านซ่อม ใหญ่ๆทั่วไป


นาฬิกาควอตซ์นั้นถ้าไม่ได้ใช้ ควรที่จะต้องดึงเม็ดมะยมออกไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน อย่างไร ?


นาฬิกาควอตซ์ นั้นถ้าไม่ได้ใช้ ควรที่จะต้องดึงเม็ดมะยมออกเพื่อไม่ให้เครื่องทำงาน อันเป็นการยืดอายุถ่านให้ใช้ได้นานยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องเสียเงินค่าถ่านบ่อยๆ ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน อย่างไร ?
เครื่องนาฬิกาควอตซ์มีแหล่งพลังงานคือแบตเตอรี่ ผู้ผลิตได้ออกแบบระบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ให้ตัดการทำงานเพื่อลดอัตราการกินกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อันเป็นการยืดอายุของนาฬิกาให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยดึงเม็ดมะยมออกมาในตำแหน่งตั้งเข็ม ซึ่งทำให้ตัวจักรทุกตัวถูกล็อกให้หยุดความเคลื่อนไหว แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ก็จะใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่น้อยลง เนื่องจากความต้องการกระแสไฟฟ้าเพียงพอเพื่อเลี้ยงวงจรให้มีไฟฟ้าวิ่งอยู่เท่านั้น

                ดังนั้น ตามทฤษฎีแล้ว การดึงเม็ดมะยมน่าจะช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่และเครื่องได้ แต่ความจริงแล้วการดึงเม็นมะยมออกจะยืดอายุของแบตเตอรี่และเครื่องได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาเนื่องจากมีปัจจัยอื่นๆ เช่น อายุของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่บางยี่ห้อ ถึงแม้ว่ามีกระแสไฟฟ้าอยู่ แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง จะเกิดการรั่วซึมของสารเคมีที่อยู่ในแบตเตอรี่ โดยเฉพาะแบตเตอรี่แบบ Silver Oxide (ซิลเวอร์ออกไซด์) อันอาจก่อให้เกิดอันตรายขั้นต้องเปลี่ยนแผงวงจรใหม่   โดยระยะเวลาการรั่วซึมมักใกล้เคียงกับเวลาที่กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ใกล้จะหมด ในการปล่อยให้นาฬิกาเดินตามปกติซึ่งกินเวลาประมาณ 1-3 ปี ดังนั้นหากดึงเม็ดมะยมไว้เพื่อหยุดการทำงานของนาฬิกา หากเกิดการรั่วซึมขึ้นมาก็จะมาสามารถบอกได้ เนื่องจากไม่ทราบว่าแบตเตอรี่ก้อนนั้นใกล้จะหมดหรือยัง
                นอกจากนี้นาฬิกาควอตซ์ยังมีส่วนที่เป็นจักรกล คือระบบจักรถ่ายทอดกำลัง ซึ่งต้องมีการใช้น้ำมันหล่อลื่น และถูกออกแบบมาภายใต้สภาวะการร์เดินหรือการทำงานตามปกติ คือเดินอย่างต่อเนื่อง การที่เราหยุดมันเป็นเวลานานๆ น้ำมันหล่อลื่นเหล่านี้อาจจะสูญเสียคุณสมบัติในการหล่อลื่นและเกิดการแข็งตัวขึ้น ทำให้ระบบจักรถ่ายทอดกำลังถูกยึดไว้จากนำมันหล่อลื่นที่แข็งตัว ซึ่งเมื่อเรากดเม็ดมะยมลงไปแล้ว นาฬิกาก็ยังไม่ทำงาน ทำให้ต้องส่งให้ช่างล้างทำความสะอาดน้ำมันหล่อลื่นที่แข็งตัวนั้นออก และหยดน้ำมันหล่อลื่นเข้าไปใหม่
                ดังนั้น เราควรปล่อยให้นาฬิกาเดินตามปกติ และเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนดของนาฬิกานั้นดีกว่า จะช่วยลดความเสี่ยงอันเกิดจากการที่น้ำกรดรั่วซึมจากตัวแบตเตอรี่เอง และปัญหาจากการที่ตัวเครื่องจักรติดเนื่องจากน้ำมันหล่อลื่นหมดสภาพ หากไม่ต้องการใช้นาฬิกาเรือนนั้นจริงๆ ก็ควรส่งให้ช่างถอดแบตเตอรี่ออกเสีย เมื่อใดที่ต้องการใช้มันอีกจึงค่อยให้ช่างใส่ให้ใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงของความเสียหายที่อาจเกิดกับแผงวงจรอันเนื่องมาจากแบตเตอรี่ที่รั่วซึม
 ***เครดิต จากหนังสือ Watch World-Watch

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

Casio History



Sometimes things start out in the most surprising ways. Take the watch company of Casio for example. If you were asked to guess what the first product that was made by Casio, you may think it was the calculator or some other type of electronic product. You would be wrong. The Casio Company was started 1946 by Tadao Kashio. Understand that this was in Japan following World War II. The financial situation was dire in Japan at the time to say the least. When Mr. Kashio began his company, he was a fabrication engineer hoping to catch a big break.บางครั้ง จุดเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่างอาจจะเริ่มต้นขึ้นได้ด้วยความประหลาดใจ เช่นดังตัวอย่างของ บริษัทนาฬิกา Casio เป็นต้น ถ้าให้คุณเดาว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของ Casio คืออะไร คุณอาจจะคิดว่าเป็นเครื่องคิดเลขหรือไม่ก็ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอิเลคทรอนิคส์ทั่วๆ ไป คุณคิดผิด!!! บริษัท Casio ก่อตั้งขึ้นโดย มิสเตอร์ Tadao Kashio ในปี ค.ศ. 1946 ซึ่งเข้าใจได้ว่าก่อตั้งขึ้นนั้นภายหลังประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง ณ. ตอนนั้นสถานการณ์ทางการเงินในประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างย่ำแย่มาก เมื่อ มิสเตอร์ Kashio เริ่มงานในบริษัทของเขา เขาเป็นเพียงวิศวกรประกอบซึ่งคาดหวังว่าอยากหาเวลาพักผ่อนยาวๆ สำหรับตัวเขาเอง


His big break showed up in a very unique way. Tadao Kashio developed a product called the yubiwa pipe. Its design allowed it to be worn on the finger. It was used to hold a cigarette, allowing the smoker to smoke the cigarette to the filter, all while still being able to use both hands. In the impoverished Japan of the times, cigarettes were a hot commodity and the product was an overwhelming success. The yubiwa pipe is a far cry from the calculators and watches that were to follow, but it did start the company down the road to success.แต่การหาเวลาพักผ่อนสำหรับเขานั้นไม่มีใครเหมือน เพราะ มิสเตอร์  Tadao Kashio ได้ใช้เวลาว่างในการพักผ่อนทำการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขาเองขึ้นมาชิ้นแรกเรียกว่า Yubiwa Pipe โดยมันถูกออกแบบมาเพื่อใช้เตือนเวลาบนนิ้วมือคน โดยมันถูกใช้เพื่อคอยคีบบุหรี่ เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่สามารถสูบบุหรี่จนถึงก้นกรองได้โดยไม่ต้องใช้มือคอยจับบุหรี่อันเนื่องมาจากความร้อน ซึ่งทำให้คนงานสามารถที่จะสูบบุหรี่ได้โดยมือทั้งสองข้างยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องคอยมาจับบุหรี่ซึ่งถือว่าเป็นการลดเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์มาก 
Since it is obvious that Mr. Kashio was an inventive sort of man, it only took a little while for him to decide to explore different products. At the business show in Ginza, Japan in 1949, he discovered electronic calculators. With the proceeds from the sale of the yubiwa pipes, Mr. Kashio and his brothers began to experiment with making their own calculators. At the time, most calculators were run by the use of gears. With diligence and hard work, the Casio Company came out with the first calculator to use solenoids. The new type of calculator went on sale in 1954. This calculator also was the first to have the 10 digit keypad and had only one display window as opposed to the competitors' that had three. In 1957 Casio released the Model 14-A, the world's first all-electric compact calculator, which was based on relay technology. 1957 also marked the establishment of Casio Computer Co. Ltd.คงจะเห็นได้แล้วว่า Mr. Kashio เป็นนักประดิษฐ์ผู้สร้างสรรค์ เขาจึงมักจะค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ของเขาเสมอ และแล้วที่งานแสดงสินค้าที่ เมือง Ginza ประเทศญี่ปุ่นในปี 1949 เขาก็คิดค้นเครื่องคิดเลขซึ่งมียอดขายตาม yubiwa  pipe มาติดๆ ตัวเขาและพี่น้องต่างก็พากันทดลองเพื่อสร้างสรรค์เครื่องคิดเลขของพวกเขาเองขึ้นมา และอีกไม่นานนัก Casio ก็เปิดตัวเครื่องคิดเลขสายพันธุ์ใหม่ในปี 1954 ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลขแบบแรกที่ใช้ ขดลวด solenoids และยังมีแป้นพิมพ์ของตัวเลข 10 หลัก และมีหน้าจอเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีถึงสามหน้าจอ และในปี 1957 Casio ก็ได้เปิดตัวเครื่องคิดเลขรุ่น Model 14-A ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลขอิเลคโทรนิคสมบูรณ์แบบเครื่องแรกที่ใช้เทคโนโนยี relay และในปีเดียวกันนั้นเองยังเป็นปีที่บริษัท Casio Computer ได้รับการก่อตั้งขึ้น
With the launch of its first watch in November 1974, Casio entered the wristwatch market at a time when the watch industry had just discovered digital technology. As a company with cutting-edge electronic technology developed for pocket calculators, Casio entered this field confident that it could develop timepieces that would lead the market.บริษัทฯ เปิดตัวนาฬิกาข้อมือรุ่นแรกในตลาดเดือนพฤศจิกายนปี 1974 ในขณะที่ตลาดเองในขณะนั้นเพิ่งจะค้นพบเทคโนโลยีดิจิตอลขึ้นซึ่งทางบริษัทเองเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถพัฒนานาฬิกาที่จะเป็นผู้นำตลาดได้
It is possible that the most well remembered watch produced by this company was the calculator watch. For those of you who don't remember, it featured all of the amazing time keeping capabilities of the regular Casio watches, with an added feature. It had a tiny calculator complete with miniature keypad built into the watch. During its hey day it was the bane of math teachers everywhere and the savior of every math deficient student.นาฬิกาที่เป็นที่จดจำได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นนาฬิกาเครื่องคิดเลขที่ทางบริษัทผลิตขึ้น ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือที่มีทั้งการทำงานแบบนาฬิกาที่มาพร้อมกับแป้นพิมพ์ตัวเลขขนาดจิ๋วละม้ายคล้ายคลึงเครื่องคิดเลข ซึ่งเหมาะกับความต้องการอย่างมาก สำหรับอาจารย์ที่สอนคณิตศาสตร์ โดยที่จะสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ทุกทีโดยไม่ต้องพกพาและสามารถที่จะช่วยเหลือนักเรียนที่ไม่ค่อยคล่องกับด้านตัวเลขอีกด้วย
Considering the calculator watch was so much fun, Casio continued to raise the bar. This company was also the first to design and produce a watch that could provide its owner with some interesting details. One such watch could display the time of many different time zones at the touch of a button. Others were equipped to give weather details like the temperature and barometric pressure. Mountain climbers of ages past particularly were fond of the version that came with a gauge to indicate the altitude. While other watch makers were stuck on the same old, same old, Casio consistently offered new and exciting variations on the classic wristwatch.นอกจากนาฬิกาเครื่องคิดเลขแล้วคาสิโอยังพัฒนานาฬิกาข้อมือไปอีกระดับด้วยการสร้างสรรค์นาฬิกาข้อมือที่สามารถให้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการให้กับผู้เป็นเจ้าของ เช่น บอกเวลาที่แตกต่างกันของแต่ละ time zone บอกสภาพอากาศ อุณหภูมิ และความดัน นักปีนเขาก็มักจะชอบรุ่นที่สามารถบอกระดับความสูงได้ ในขณะที่ผู้ผลิตนาฬิการายอื่นยังคงนำเสนอรายละเอียดของนาฬิกาข้อมือในแบบเดิมๆ คาสิโอก็ยังคงนำเสนอรูปแบบของนาฬิกาที่หลากหลายพร้อมการใช้งานที่น่าสนใจในรูปแบบนาฬิกาข้อมือแบบดั้งเดิม

In 1983, Casio launched the shock-resistant G-SHOCK watch. This product shattered the notion that a watch is a fragile piece of jewelry that needs to be handled with care, and was the result of Casio engineers taking on the challenge of creating the world’s toughest watch. Using a triple-protection design for the parts, module, and case, the G-SHOCK offered a radical new type of watch that was unaffected by strong impacts or shaking. Its practicality was immediately recognized, and its unique look, which embodied its functionality, became wildly popular, resulting in explosive sales in the early 1990s. The G-SHOCK soon adopted various new sensors, solar-powered radio-controlled technology, and new materials for even better durability. By always employing the latest technology, and continuing to transcend conventional thinking about the watch, the G-SHOCK brand has become Casio’s flagship timepiece product.แต่แล้วในปี 1983 คาสิโอก็ได้เปิดตัวนาฬิกาที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีคือ G-Shock ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ทนทานต่อแรงกระแทก โดยนาฬิการุ่นนี้ได้ฉีกภาพลักษณ์ของนาฬิกาที่เคยเป็นเครื่องประดับที่บอบบางและต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษจนไม่เหลือภาพเดิม G-shock เป็นนาฬิกาที่สมบุกสมบันทนทานต่อแรงกระแทกด้วยการออกแบบที่มีชั้นป้องกันอะไหล่และกลไกของตัวนาฬิกาถึงสามชั้น ทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่มาพร้อมกับการใช้งานที่หลากหลาย นาฬิการุ่นนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายจนยอดขายทะลุทะลวงในช่วงปี 1990 และ G-shock เองก็ไม่ได้หยุดยั้งในการพัฒนา นาฬิกายังคงมาพร้อมกับเทคโนโลยีล่าสุดเสมอจึงทำให้ G-shock กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของคาสิโอในที่สุด

With the true gadget geeks of the world in mind, Casio came up with a watch just for them. It is the Wave Ceptors line of watches. They really outdid themselves with this one. These watches are equipped to receive radio signals that enable the watch to keep accurate time. They also are able to tell the time in different time zones, the user can set alarms and timers. This line of watches also came with an incredibly extensive user manual to provide all of the necessary instructions to the owner.สำหรับคนที่คลั่งไคล้ในอุปกรณ์และต้องการย่อโลกให้อยู่ในมือ คาสิโอก็ได้เปิดตัวนาฬิกาที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ นาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกับอุปกรณ์รับสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อให้นาฬิกาสามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำในทุกสถานที่ เช่นการบอกเวลาของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันได้ และสามารถที่จะตั้งเวลาปลุกหรือจับเวลาได้เช่นกัน ทั้งนี้ทาง Casio ได้มีการทำหนังสือคู่มือการใช้ของนาฬิกาแต่ละรุ่นเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำความเข้าใจถึงความสามารถของนาฬิกาแต่ละรุ่นได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย
From the yubiwa pipe to the finest calculators and watches in the world, the Casio has come a long way from its humble beginnings. They continue to challenge themselves and their competitors to new higher peaks and offer the best products electronics can build.จากจุดเริ่มต้นด้วย yubiwa pipe มาถึงเครื่องคิดเลขและนาฬิกาที่ดีที่สุด คาสิโอเดินทางฉีกแนวมาไกลมากจากจุดเริ่มต้น แต่พวกเขาก็ยังคงสร้างความท้าทายให้กับตัวเองและค่แข่ง และยังคงตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ เพื่อก้าวไปยังอีกระดับของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดที่โลกอิเลคทรอนิคจะสามารถผลิตได้
1957 Casio releases the Model 14-A, the world's first all electric compact calculatorปี 1957 Casio ได้นำผลิตภัณฑ์รุ่น 14-A ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลขอิเล็คทรอนิคส์รุ่นแรกของโลกออกวางจำหน่าย
1965 The 001 calculator is releasedปี 1965 เครื่องคิดเลขรุ่น 001 ได้ออกวางจำหน่าย
1974 The Casiotron, a watch that features a fully automatic calendar, including month lengths and leap years, is released.ปี 1974 นาฬิกา รุ่น Casiotron ซึ่งเป็นนาฬิกาที่รวมความสามารถทางด้านปฏิทินเอาไว้ ออกวางจำหน่าย
1983 The first G-Shock watch, the DW-5000C, is released.ปี 1983 นาฬิกา G-shock รุ่นแรก DW-5000C ได้ออกวางจำหน่าย
2007 The OCW-S1000J, dubbed the Oceanus "Manta", is released being the world's thinest solar-powered chronograph being only approx. 8.9mm in thickness.ปี 2007 นาฬิการุ่น OCW-S1000J ซึ่งถือว่าเป็นนาฬิกาที่ใช้พลังแสงอาทิตย์ที่มีความบางที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ซึ่งตัวเรือนนาฬิกามีความหนาเพียง 8.9 มิลลิเมตรเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

Watch band change Feeling

ใครชอบสายหนัง หรือใส่สายเหล็กจนเบื่อลองมาเปลี่ยนเป็นสายหนังกันดู
ได้อีกอารมณ์นึงครับ มาดูนายแบบกันครับ
ตัวแรก Prince Monster ตัวนี้สายสายสแตนเลสคั่นพิงค์โกลด์ ขนาด 20mm
อันที่จริงมีสายยางแถมมาให้ด้วยแต่ผมไม่ชอบเท่าไหร พอเบื่อสายเหล็กเลยจับใส่สายหนังซะเลย
ข้อมูลจำเพาะ
"จ้าวชายอสุรแห่งท้องทะเลลึก"
-ผลิต 1,666 เรือน
-ปี 2008
-เครื่อง 7S35

ตัวที่สอง Monster7น้องนุชสุดท้องของเหล่าปีศาจ ที่พึ่งออกมาทำเอาแฟนๆไซโก้กระเป๋า
ฉีกไปตามๆกัน เนื่องจากหลังวางจำหน่ายไม่นานราคาก็ไปไกลแล้ว จนแฟนๆ Monsterบาง
ท่านต้องขอผ่าน เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นรุ่นอื่น ยิ่งช่วงหลังไซโก้ไทยออก ลิมิเต็ดอีดิชั่นถี่ขึ้นแฟนคลับตาม เก็บควักกระเป๋าแทบไม่ทัน ตัวนี้สายสายสแตนเลสขนาด 20mm ตัวนี้สายยาง
มีแถมมาให้เช่นกันครับ แต่ไม่โดน เลยจับใส่สายหนังตามระเบียบ
ข้อมูลจำเพาะ
"อสุรกายสีเขียว"
-ผลิต 1,818 เรือน
-ปี 2010
-เครื่อง 7S36




Watch Error Riseman G-9200



Riseman G-9200 Error 

วันนี้มาดูนาฬิกาข้อมือ G-9200 หรือเรียกขานกันในนาม Riseman
G-Shock ตัวนี้ ถ้าจำไม่ผิดลูกค้าอยู่จังหวัดตากโทรมาหาผม "พี่ครับ นาฬิกา G-Shockที่ผมซื้อจากพี่ไปเมื่อกลางปีที่แล้วมันมีปัญหาครับ
.
คือ..มันขึ้น ERRที่หน้าปํด เดี๋ยวผมส่งไปให้ดูนะครับ" ผมก็ถามกลับไปว่าก่อนหน้านั้น ไปทำอะไรมา ใช้งานแบบไหน ปรากฏว่าก็ใช้งานทั่วไปอยู่ๆก็ขึ้น ERR ที่หน้าจอ แล้วผมก็ตอบรับไปว่าส่งมาเลยครับของยังอยู่ในประกัน เดี๋ยวส่งเข้าศูนย์ให้
.
พอของมาก็รีบจัดแจงส่งศูนย์เพื่อตรวจเช็ค ด้วยความร้อนใจและอยากรู้เพราะตั้งแต่ขายมาก็เพิ่งเคยเจอเคสนี้ และลูกค้าท่านนี้แกอุดหนุนผมบ่อยหลายตัวไม่เคยมีปัญหา ประกฏว่า 1 อาทิตย์ผ่านไป
.
ได้ของกลับมาในใบแจ้งซ่อมแจ้งว่า เซอร์กิตเซ็นเซอร์หรือตัวเซ็นเซอร์มีปํญหา ทำการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ Riseman ตัวนี้จึงกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จัดแจงส่งให้ลูกค้ามีความสุขกันไป ทั้งลูกค้า และพ่อค้า

สนใจติดต่อเรา!

https://lin.ee/bwpUYuf
ID: @GshockMuesong

FB: https://www.facebook.com/WatchesToday

IG: https://www.instagram.com/pairojsaelee
เบอร์โทรศัพย์ 064-865-4077

วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

Seiko Sea Lion M55 (แมวน้ำ)


Seiko Sea Lion M55 (แมวน้ำ)😍
Seiko ตัวนี้เพิ่งได้มาไม่นาน เป็นนาฬิกาเก่ายุค60 สวย ดูภูมิฐาน ดีครับ ผมเปลี่ยนใส่สายหนัง 20mm.เบียดนิดนึง ความจริงต้องใช้ ขนาด 19mm นาฬิกาอายุประมาณ30ปี ฝาหลังถูกเปลี่ยนมา น่าจะเป็นฝาเทียมครับ เครื่อง 394 Seikosha ขนาดตัวเรือนประมาณ 37mm.







วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

Seiko VS Casio




ขัดหน้าป้ดนาฬิกาอะคริลิค(พลาสติก) ทำเองได้



บทความนี้เป็นบทความเก่าทำไว้นานแล้วเห็นว่าน่าจะพอมีประโยชน์บ้างเลยนำมาลงใหม่ สำหรับท่านที่ใช้นาฬิกาข้อมือที่มีหน้าปัดเป็นพลาสติก พอใช้ไปสักระยะนึง จะเกิดริ้วรอยที่หน้าปัดวันนี้เราจะมากำจัดริ้วรอยเหล่านั้น กันครับ อุปกรณ์ก็ไม่มีอะไรมากมีนำยาตัวนึงชื่อ PolyWatch เป็นพระเอกของงานนี้


 มาเริ่มกันเลยครับ นำน้ำยามาทาที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ทาให้ทั่วแล้วทิ้งไว้สัก2-3นาทีแล้วใช้ผ้าเช็ด ขัดน้ำยาออก เป็นอันเสร็จพิธี แต่รอยใหนถ้าลึกต้องใช้กระดาษทรายเบอร์ระเอียดขัดก่อนแล้วลงน้ำยาตามขัดซ้ำซัก2-3รอบเป็นอันเสร็จพิธี

Seiko Monster กำเนิดแห่งปีศาจท้องทะเลตอนที่ 2


ในยุคนั้นการจะหานาฬิกา Monster ราคาตลาดแบบนิ่งๆนั้นเป็นสิ่งที่หายากมากๆ พอๆกับหานาฬิกา Monster สีหน้าปัดที่ถูกใจเพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็เน้นหน้าปัดสีดำ บางคนก็เน้นหน้าปัดสีส้ม ทำให้ต่างๆหาMonster กันไปทั่วตลาด พร้อมกับราคาตลาดที่วิ่งไปๆมาๆ ที่เด็ดกว่านั้น ใส่แล้วเบื่อๆ อาจจะขายได้ราคาพอๆกับตอนไปสอยมาก็ได้ นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากๆสำหรับนาฬิกา Entry Level อย่างเจ้า Monster การออกแบบของMonsterนั้น นับว่าแหวกแนวกว่านาฬิกาเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวเรือน Steel บึกๆ ขนาดใหญ่ที่หนักอึ้ง สายเหล็กที่แน่นหนา พร้อม Extension ที่ขยายได้สำหรับใส่ Wet Suit ดำน้ำ พร้อมระบบดับเบิลล็อค เพื่อล็อคสายให้มั่นคงแข็งแรง ขณะทำกิจกรรมต่าง
หรือจะเป็นวงแหวนจับเวลาที่ขอบถูกออกแบบให้ใหญ่ชัดเจนพร้อมด้านข้างที่มีช่องเว้าขนาดใหญ่ ที่สามารถปรับได้อย่างสะดวกแม้ยามใส่ถุงมือดำน้ำก็ตามและตัววงแหวนจับเวลายังหมุนทิศทางเดียวเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย เรียกได้ว่ายึดถือการออกแบบตามนาฬิกาดำน้ำแบบมืออาชีพกันเลยทีเดียว ข้อดีเหล่านี้เองทำให้ Monsterได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในตลาดนาฬืกา Entry Level คิดเอาเองแล้วกันครับ




ดังขนาดที่ Seikoส่งเจ้าMonster รุ่นพิเศษสำหรับประเทศไทยเปิดตัวในปี 2003 ที่เป็นหน้าปัดสีเหลืองสด กระจกเป็นแบบ Crytal Sapphireพร้องเลนส์ขยายวันที่ หรือเรียกกันติดปากว่า Cyclop ผมได้มีโอกาสอยู่ในการเปิดขายนาฬิการุ่นนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2003 ในงานนาฬิกาแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ ที่แม้ในตอนนั้นการประชาสัมพันธ์จะไม่ได้ทำอะไรมากมายนักแต่เมื่อเปิดขายกลับกลายเป็นว่ามีผู้คนต่างแย่งซื้อมากมายจนหมดในเวลาไม่นาน และบรรดาตัวแทนขายต่างๆ และร้านทั่วไปก็โดนโทรตามให้วุ่นจากคนที่พลาดจากการซื้อในงานและเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ทำราคาขายต่อได้ดีมาก ถ้าผมจำไม่ผิดราคาขายของเจ้ารุ่นนี้เคยทะยายไปถึง 40,000 บาท จากราคานาฬิกาแค่หมื่นนิดๆเท่านั้นถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางการตลาดของวงการนาฬิกาที่หาไม่ได้ง่ายนักและจะหาใครมาเทียบเคียงก็คงจะยากอีกเหมือนกันและความนิยมในตัว Monsterก็ยังคงอยู่เช่นเดิม ทั้งๆที่ตัวหน้าปัดสีเหลืองหมดได้จากตัวแทนจำหน่ายไปแล้ว ทำให้ช่วงปี 2005-2006 ไซโก้ได้ส่ง Blue Monsterลงสู่ตลาดเพื่อเอาใจแฟนๆอีกครั้ง



 ถัดมาในปี 2007 ก็ส่งอีกรุ่นคือ Red Monsterมาเพิ่มความฮิตของกระแสMonsterให้โด่งดังมากขึ้นและ Seikoก็ได้ส่ง Monster ออกมาอีกหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็นรุ่น Black×Black Monster ที่ผลิตเฉพาะตลาดญี่ปุ่นเท่านั้นและไม่นับรวมรุ่นย่อยๆอีกมากมาย อย่างเช่นรุ่น Land Monster , Price Monster , Mini Monster นับกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ไม่ว่าจะออกมากี่รุ่นต่อกี่รุ่น คนทั่วโลกก็ยังคงความสนใจอยู่ไม่เสื่อคลาย และปี 2010 ก็เขย่าวงการอีกครั้ง ด้วยการแนะนำ Green Monster ซึ่งกระแสในขณะนี้ถือว่าร้อนแรงสุดๆ เพราะขนาดต้องลงคิวจองยาวเป็นหางว่าวและคาดว่า Green Monsterรุ่นนี้จะหมดตลาดไปอย่างรวดเร็ว คงมีเหลือแต่ราคาในตลาดขายต่อที่มีการเพิ่มราคาสูงขึ้นกว่าเดิมไปมากเเล้ว



Seiko Monster ถือเป็นการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น วงการนาฬิการะดับราคา Entry Level และจุดเริ่มต้นความโด่งดังนั้นก็มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศไทย จากที่ ไซโก้ เคยคิดแต่เพียงว่าเป็นนาฬิกา Driver ที่หน้าตาดีๆ ดุๆ เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน การขยับตัวของ Monsterนั้น ส่งผลกระทบอย่างมากมายต่อวงการนาฬิกา และนี่ก็คือ ตำนานที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าปีศาจตนนี้นั่นเองครับ


เครดิต หนังสือ 1PM Magazine
Seiko Monster กำเนิดแห่งปีศาจท้องทะเลตอนที่ 1

วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561

Seiko Monster กำเนิดแห่งปีศาจท้องทะเลตอนที่ 1


กำเนิดแห่งปีศาจท้องทะเล

ไซโก้ ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มียอดการผลิตนาฬิกาในแต่ละปีนับสิบล้านเรือนและในทุกๆก็มีรุ่นใหม่ๆออกมาเขย่าตลาดเสมอ ไม่ว่าจะยากดีมีจน เด็กหรือคนแก่ต่างก็เข้าใจกันว่า Seiko คือนาฬิกาแบรนด์จากญี่ปุ่นที่ดีและราคาไม่แพง ตัว ไซโก้ เองก็มีนาฬิกามากมายหลายรุ่นที่เหมาะกับการทำกิจกรรมต่างๆไม่เว้นแต่นาฬิกาข้อมือในกลุ่ม Driver ที่เหมาะสำหรับนักดำน้ำที่ต้องการความสมบุกสมบันในราคาไม่แพงและเชื่อถือได้ ฟังดูใครๆก็ทำอย่าง Seiko ได้ แต่ถ้าคิดให้ดีๆว่า บริษัทที่ผลิตนาฬิกาในแต่ปีละหลายสิบล้านเรือนจะผลิตนาฬิกา Driver คุณภาพดีๆ เชื่อถือได้ในราคาหลักพันหลักหมื่นที่ทำงานด้วยกลไกได้ดีแล้วละก็ บอกเลยว่าในโลกนี้หาใครที่จะเทียบเคียงเท่า Seiko คงไม่มีอีกแล้ว และในปัจจุบัน Seiko ก็ยังคงแนวทางนั้นอยู่เหมือนเดิมทุกประการ



 เข้าเรื่องกับเจ้า Monster ตามที่จั่วหน้าไว้ตามหัว เรื่องข้างบนบ้าง เรื่องของเรื่องคือ Seiko ได้ผลิตนาฬิกา Driver หรือเรียกง่ายๆว่านาฬิกาดำน้ำออกมามากมายก่ายกอง รุ่นเหล่านั้นก็ขายดีแบบเรื่อยๆเอื่อยๆ แต่เมื่อย้อยกลับไปไม่กี่ปีมานี้ในช่วงราวปี 2000 Seiko ก็ทำให้เราๆชาวไทยได้รู้จักนาฬิกา Driver รุ่นหนึ่งที่เป็นจุดตำนานความโด่งดังไปทั่วประเทศไทยและทั่วโลกคือ Seiko Monster นั่นเองและก็ต้องยอมรับอย่างภูมิใจว่ารุ่นนาฬิกา Seiko นั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทยและโด่งดังจนเข้าใจและเรียกกันไปไกลทั่วโลกแถม Seikoเองก็ชอบชื่อนี้เสียด้วย ทำให้การแนะนำนาฬิกาในซีรีย์นี้ถูกเรียกขานในชื่อ Monster ไปโดยปริยาย การตั้งชื่อเรียก Monster เกิดจากสองบุคคลที่คลุกคลีอยู่ในวงการนาฬิกามาอย่างยาวนานและถ้าใครเล่นเว็บนาฬิกาต่างๆมานานพอแล้วหละก็ คงพอจำได้หรือคุ้นชื่อทั้งสองท่าน เป็นอย่างดีแน่นอน คงแรกก็คือ ทอมมี่ แห่งเว็บไซต์ Siamnaliga.com และคนที่สองคือคุณ Reto Cascellazzi แห่ง Poorman’s watch forum ชาวสวิตที่พำนักอยู่เมืองไทยและหลงใหลนาฬิกาเช่นกันทั้งสองท่านนี้เป็นคนที่คอยเฟ้นหานาฬิกาดีๆ ราคาไม่แพง มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบรรดาเพื่อนๆ และสมาชิกเว็บอยู่เสมอ และเมื่อ Moster ออกขายในปี 2000 ก็ยังไม่ดังเปรี้ยงร้าง มากนัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะ Seiko ในตอนนั้นไม้ได้คิดว่ารุ่นนี้จะเป็นรุ่นเด่นดังเหมือนในทุกวันนี้ก็เป็นได้ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปี2002 บุคคลทั้งสองท่านก็ได้นำเจ้า Moster มาพูดคุยกับเพื่อนๆที่รู้จักและตั้งชื่อเล่นๆว่า Monster ด้วยหน้าตารูปลักษณ์เหมือน Sea Monster ที่บึกบึน ใหญ่ หนา หนักเป็นที่สุด แต่ประเด็นที่ส่งต่อความดังก็คือ Seiko ได้ผลิตนาฬิกา Driver คุณภาพดีมากๆเรือนกนึ่งในราคาแค่หลักพัน พร้อมคุณสมบัติมากมายเหมือนนาฬิกาDriver ราคาแพง แถมการผลิตก็อยู่ในระดับที่ดีด้วย พูดตรงๆ นาฬิกาแบนด์สวิตบางแบรนด์อาจจะต้องอายม้วนไปก็ได้ ไม่ว่าจะราคาหรือคุณภาพการผลิตและหลังจานั้นชื่อ Monster ก็ได้จารึกอยู่ในใจนักสะสมมากมายและขยายขจรไกลไปทั่วทั้งโลก Monsterในยุคเริ่มแรกนั้นแบ่งออกเป็น 2 รุ่น ก็คือ รุ่น หน้าปัดสีดำSKX779K1 และหน้าปัดสีส้มสดSKX781K1
SKX779K1


SKX781K1

เครดิต หนังสือ 1PM Magazine
Seiko Monster กำเนิดแห่งปีศาจท้องทะเลตอนที่ 2

กว่าจะมาเป็นสิ่งที่เราเรียกว่านาฬิกา



จากอดีตกาลจวบจนถึงปัจจุบัน  นาฬิกามีบทบาทสำคัญที่สะท้อนความเที่ยงตรงของเวลาให้กับมนุษย์เป็นอย่างมาก  และความเที่ยงตรงแม่นยำของเวลาเกิดขึ้นจากการทำงานของชิ้นส่วนกลไก  ฟันเฟืองและจานจักรต่างๆภายในที่มารวมตัวกันเป็นประดิษฐกรรมบอกเวลาชั้นสูง  ดังที่เราได้เห็นกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนั้น  นอกจะเป็นตัวแทนในฐานะเครื่องบอกเวลาแล้วเรือนบอกเวลาในจินตนาการของหลายท่านที่ชื่นชอบและสะสมอยู่นั้นยังบ่งบอกถึงรสนิยมของผู้ที่สวมใส่ได้เป็นอย่างดีด้วย  แต่เคยสังเกตกันไหมว่า  ทำไมนาฬิกาแต่ละเรือนที่ซื้อหรือสะสมอยู่ถึงได้มีราคาที่แตกต่างกัน  ทั้งที่ดูจากรูปลักษณ์ดีไซน์ภายนอกแล้วก็มีหน้าตาที่ละม้ายคล้าคลึงกัน  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัสดุที่นำมาใช้ในการประดิษฐ์นาฬิกาแต่ละเรือนนั้นมีหลากหลายชนิด  และแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป  ส่วนนาฬิกาเรือนนั้นประกอบด้วยวัสดุใดบ้าง  และวัสดุเหล่านั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร  ลองไปทำความเข้าใจกันดูเกี่ยวกับวัสดุที่นำมาใช้ประดิษฐ์นาฬิกา
 ก่อนอื่นมาดูคำศัพท์เฉพาะที่ใข้เรียกในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา  เมื่อเราได้ยินใครสักคนกล่าวถึง "นาฬิกาเรือนทอง" หรือ  "นาฬิกาเรือนเหล็ก"นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขากำลังพูดถึงวัสดุที่นำมาใช้ประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนนาฬิกา   และการที่เราจะเรียกนาฬิกาเรือนไหนว่าเป็นนาฬิกาเรือนทองนั้นขึ้นอยู่กับว่าตัวเรือนของนาฬิกานั้นๆทำมาจากทองเนื้อแข็งไม่ใช่แค่มีสีทองเหลืองหรือเคลือบด้วยชั้นของทองเท่านั้น


      เป็นที่ทราบกันดีว่าทองคำโดยส่วนใหญ่ที่เห็นๆกันอยู่ทั่วไปนั่นจะมีสีเหลืองทองแต่ในบางครั้งก็พบเห็นทองสีขาวหรือที่เรียกกันว่าทองคำขาว (White Gold) หรือทองคำสีชมพู (บางครั้งก็อาจจะเคยได้ยินบางแบรนด์เรียกว่า Rose Gold  หรือ Red Gold  แตกต่างกันออกไป ) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับโลหะที่นำมาผสมผสานเข้ากับทองคำเพื่อทำให้เกิดเป็นอัลลอย์ (Alloy )  หรือโลหะผสมมีสัดส่วนและปริมาณที่แตกต่างกันไปจึงทำให้ทองแต่ละชนิดที่ได้นั้นมีสีเข้มแตกต่างกัน


      ส่วนคำว่า  'กะรัต' หลายคนคงคุ้นหูกันเป็นอย่างดี  นั่นคือก็คือเกณฑ์สำหรับวัดค่าความบริสุทธิ์ของทองคำที่มีอยู่ในเนื้อโลหะนั้นๆแต่นาฬิกาเรือนทองโดยส่วนมากแล้วจะทำมาจากทองคำ 18 กะรัตหรือ 18k หมายถึง โลหะนั้นประกอบด้วยเนื้อทองคำบริสุทธิ์ถึง 75%ซึ่งเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปเพราะว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมลงตัวมากที่สุด


     ส่วนนาฬิกาทองคำบางเรือนที่ทำมาจากทองคำ 14 กะรัต ก็หมายถึงโลหะนั่นประกอบด้วยเนื้อทองคำบริสุทธิ์อยู่เพียง 58% และสำหรับค่ากะรัตสูงสุดของทองคำที่จัดว่าเป็นทองเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์นั้นก็คือ 24 กะรัตหมายถึงทองคำล้วนไม่มีโลหะอื่นใดผสมผสานอยู่เลยแต่ก็ยังไม่เคยปรากฏว่ามีการนำทองคำ 24 k มาใช้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นตัวเรือนนาฬิกา  ด้วยสาเหตุที่ว่าทองคำบริสุทธิ์นี้มีความอ่อนตัวเกินกว่าจะทำเป็นตัวเรือนหรือสายได้    และตามหลักประมวลกฎหมายแล้วนาฬิกาเรือนทองจะต้องมีการตีตราอยู่บนด้านหลังของตัวเรือนพร้อมบอกค่ากะรัตของทองคำที่ใช้ แต่ถ้าสายของนาฬิกาเป็นแบบที่ไม่สามารถถอดแยกออกจากตัวเรือนได้  อย่างเช่น  นาฬิกาทรงกำไลข้อมือ  ค่ากะรัตก็อาจจะประทับไว้บนกำไลข้อมือนั้นๆได้เช่นกัน

    นาฬิกาเรือนทองนั้นอาจจะมีราคาถูกที่สุดอยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่โดยส่วนมากแล้วจะมีราคาแพงกว่านี้มาก แน่นอนว่าสำหรับเรือนทอง 18k ย่อมจะมีราคาที่แพงกว่านาฬิกาเรือนทอง 14k และถ้านาฬิกาไหนมีสายซึ่งทำจากทองคำเช่นเดียวกันกับตัวเรือนแล้วละก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่านาฬิกาเรือนนั้นจะมีราคาขึ้นเป็นทวีคูณเพราะมูลค่าของทองนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าควรแก่การสะสมและครอบครองไว้ยิ่งนัก

    ทองชุบ
   นาฬิกาทองชุบ(Gold - Plated Watch)มักจะพบเห็นได้โดยทั่วไปมากกว่านาฬิกาเรือนทอง ตัวเรือนนาฬิกาประเภทนี้จะทำมาจากโลหะที่มีค่าน้อยโดยปกติที่เรามักจะพบเห็นก็คือทองเหลืองหรือเหล็กกล้า ซึ่งจะถูกเคลือบด้วยแผ่นทองคำที่มีความหนาถึง 20ไมครอน แต่โดยส่วนใหญ่ที่เราเคยเห็นกันนั้นจะเคลือบด้วยทองคำหนาประมาณ 10 ไมครอนหรือน้อยกว่านี้แตกต่างกันไป (1 ไมครอนจะมีค่าเท่ากับ 1/1,000 มิลลิเมตร กระบวนการนำโลหะทองคำเหล่านี้มาประยุกต์เรียกว่า การชุบโลหะทองคำด้วยไฟฟ้า(Electroplating) และส่วนใหญ่ทองคำที่นำมาใช้สำหรับชุบนั้นจะนิยมใช้ทองคำที่มีค่าสูงกว่า 18 กะรัต เพราะว่าจะให้เนื้อทองสีเหลืองที่มีความเข้มข้นมากกว่า

    ส่วนนาฬิกาเรือนสีทอง(Gold - Tone Watch )ที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปซึ่งมีราคาไม่สูงนักจะมีเนื้อของทองคำเคลือบอยู่บางกว่านาฬิกาทองชุบ(Gold - Plated Watch)และราคาของนาฬิกาทั้งสองชนิดนี้ก็จะมีราคาเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐฯ จนถึง 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯเลยทีเดียว

   เหล็กกล้า
 เมื่อไม่นานมานี้เอง  เหล็กกล้า(Steet)  ได้กลายเป็นวัสดุที่มีบทบาทสำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา  เนื่องจากความกระแสนิยมตามแฟชั่นที่เปลี่ยนไปทำให้รสนิยมของคนส่วนใหญ่หันมาชื่นชอบโลหะที่มีสีขาวซึ่งจะเห็นได้จากปริมาณยอดขายของทองคำขาวที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและสำหรับเหล็กกล้าที่นิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกาก็คือสเตนเลสสตีล นั่นหมายความว่าเหล็กกล้านั้นประกอบด้วยธาตุโครเมียม ก่อเป็นรูปร่างขึ้นที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นเกระป้องกันพื้นผิวของโลหะอย่างแท้จริงและยังป้องกันการกัดเซาะที่อาจทำให้เกิดสนิมได้อีกด้วย

    สำหรับนาฬิกาเรือนเหล็กกล้านั้นจะมีราคาเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ์ฯไปจนถึงหลักพันเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี หลายท่านอาจประหลาดใจว่า เหตุใดนาฬิกาที่ทำจากวัสดุราคาถูกเช่นนี้  ถึงได้มีราคาแพงลิบลิ่ว นั่นก็เป็นเพราะว่าวัสดุที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกานั้นเป็นเพียงปัจจัยเล็กๆอย่างหนึ่งที่ใช้การกำหนดหรือตั้งราคาของนาฬิกาเรือนนั้นๆสำหรับปัจจัยที่เป็นต้นทุนซึ่งมีบทบาทสำคัญมากกว่าก็คือต้นทุนแรงงานที่ช่างทำนาฬิกาได้อุทิศเวลาของตนให้กับการประดิษฐ์และจำนวนที่ใช้จ่ายไปกับการส่งเสริมการขายนาฬิกาแบรนด์นั้นจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปยกเว้นนาฬิกาบางประเภทที่ประดับด้วยเพชรหรืออัญมณีล้ำค่าต่างๆอย่างละลานตา
 สำหรับนาฬิกาประเภทนี้จะเรียกกันว่า เครื่องประดับบอกเวลา (Jewelry Watches) ราคาของนาฬิกาประเภทนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าของวัสดุที่นำมาใช้ผลิตนาฬิกาหรือไม่แตกต่างจากมุลค่าของเพชรพลอยที่นำมาใช้ประดับมากนักและอาจจะเพิ่มค่าแรงในการฝังเพชรและตกแต่งลวดลายต่างๆออกไปอีกขึ้นอยู่กับดีไซน์ของแต่ละเรือน

    นาฬิกาบางชนิดที่เราเห็นว่ามีการนำทองคำบริสุทธิ์มาใช้เป็นส่วนประกอบในการตกแต่งอยู่บนขอบตัวเรือนและสายนั้นจะเรียกกันอย่างง่ายๆว่า  นาฬิกาสองกษัตริย์ (Steel and Gold Watch ) ส่วนนาฬิกาสเตนเลสสตีลสลับคั่นด้วยทองชุบหรือโลหะสีทอง เรียกกันว่า ทู - โทนวอทช์ (Two -Tone - Watch)

 ไทเทเนียม
     โลหะชนิดหนึ่งที่มีสีขาวและยังเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงทนทานมากอีกด้วย  ทำให้ในระยะหลังนี้ไทเทเนียมกลายเป็นโลหะที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกาเช่นกันดังจะเห็นได้จากกระแสความนิยมในตัวโลหะสีขาวและยอดขายของนาฬิกาสปอร์ตที่มีการเจริญเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะว่าโลหะชนิดนี้เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการผลิตนาฬิกาสปอร์ตเป็นอย่างยิ่ง  วัสดุไทเทเนียมก็ยังมีความแข็งแรง
ทนทานมากกว่าสเตนเลสสตีลทั้งยังสามารถป้องกันการเกิดสนิมซึ่งอาจจะเกิดจากการกัดกร่อนของน้ำเค็ม กระนั้นไทเทเนียมนั้นสามารถเกิดรอยขีดข่วนได้ง่ายจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ผลิตหลายรายต้องนำนาฬิกาไทเทเนียมของเขาไปเคลือบด้วยโลหะที่ใช้สำหรับป้องกันรอยขีดข่วนโดยเฉพาะอีกชั้นหนึ่ง

    วัสดุชนิดอื่นๆ  (Other Materials)
    นาฬิกาบางชนิดทำมาจากวัสดุอะลูมิเนียมซึ่งก็เป็นโลหะอีกชนิดหนึ่งที่มีสีขาว  น้ำหนักเบาและป้องกันการเกิดสนิมได้ด้วย  ว้สดุที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักสำหรับการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกานั้น  ยังมีอีกหลายชนิด อาทิ วัสดุที่มาจากการผสมผสานของ  'ทังสเตนคาร์ไบด์' และ'ไทเทเนียม' ส่งผลให้วัสดุชนิดนี้แข็งแรงทนทานเป็นอย่างมาก และยังเป็นโลหะชนิดต้านทานรอยขีดข่วนได้อีกด้วย
     ไฮ - เทค เซรามิกส์ (HI - Tech Ceramics) เป็นวัสดุที่ถูกใช้เพื่อเป็นเกราะป้องกันความร้อนบนกระสวยอวกาศ แต่ภายหลังได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกาด้วยเช่นกันดังจะเห็นได้จากแบรนด์อย่าง ราโด (Rado) ที่นำมาใช้ผลิตเป็นตัวเรือนและสายในผลงานบอกเวลาคอลเลกชั่นดังอย่าง   ซินทรา(Sintra)
   นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายยังได้นำเทคนิคการเคลือบโลหะเพื่อป้องกันหรือตกแต่งนาฬิกาทองเหลืองหรือนาฬิกาเรือนเหล็กของเขาโดยใช้เทคนิคการเคลือบที่เราเรียกสั้นๆว่า PVD (Physical vapor Depositon)   ซึ่งการเคลือบด้วยทองคำก็สามารถผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ได้เช่นเดียวกันเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก นอกเหนือจากกรรมวิธีที่นำโลหะนั้นไปชุบทองด้วยไฟฟ้า (Electroplating)  ดังนั้นการนำวัสดุไทเทเนิยมไนไตรท์ ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานสูงก็สามารถนำมาเคลือบ PVD เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนได้เช่นกัน
   คาร์บอนไฟเบอร์ จัดเป็นวัสดุอีกชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแรงและมีน้ำหนักเบาไม่ว่าจะเป็นชนิดที่มีสีดำหรือสีเทาดำอันที่จริงแล้วเป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์และสารประกอบโพลีเมอร์ซึ่งบางครั้งได้มีการนำมาใช้เพื่อทำหน้าปัดและตัวเรือนของนาฬิกา

   ผลึกแก้วใสหรือคริสตัลแซพไฟร์
   สำหรับวัสดุที่นำมาใช้เพื่อทำเป็นกระจกคริสตัลใสป้องกันพื้นหน้าปัดของนาฬิกานั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดนั่นก็คือ กระจกมิเนอรัล ( MINERAL  GLASS )ซึ่งเป็นกระจกที่มีพื่นฐานการผลิตเช่นเดียวกันกับกระจกที่ใช้ทำหน้าต่างดังที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป   วัสดุชนิดที่สองก็คือ อะครีลิก(Acylic)  ซึ่งเป็นพลาสติกใสชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแรงทนทานเป็นอย่างสูงและยังเป็นวัสดุที่ป้องกันการแตกละเอียดได้ดีอีกด้วยแต่คริสตัลชนิดนี้สามารถเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย  จึงไม่นิยมนำมาใช้ในการทำกระจกหน้าปัดนาฬิกาสำหรับวัสดุชนิดสุดท้ายที่เราจะกล่าวถึงนั่นก็คือ แซพไฟร์สังเคราะห์ (Synthetic Sapphire)  เป็นวัสดุชนิดพิเศษที่มีความเเข็งแรงทนทานมาก และถูกนำมาใช้เพื่อเป็นคริสตัลชนิดต้านทานรอยขีดข่วนได้ดี

   แซพไฟร์สังเคราะห์ก็คือวัสดุชนิดเดียวกันกับแซพไฟร์ที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับต่างๆเว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคริสตัลที่ทำขึ้นโดยฝีมือมนุษย์และเมื่อถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ทำนาฬิกาคริสตัลแบบไร้สีเช่นเดียวกับแซพไฟร์ตามธรรมชาติ ซึ่งมีอัตราความแข็งแรงทนทานอยู่ที่ระดับ 9 เลยทีเดียวสำหรับเพชรนั้นถือว่ามีอัตราความแข็งอยู่ที่ระดับ 10 ซึ่งเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติชนิดเดียวเท่านั้นที่มีความแข็งแรงที่สุด ทั้งนี้แซพไฟร์สังเคราะห์ยังได้มีการนำมาใช้ประกอบเป็นฝาหลังของตัวเรือนเพื่อเผยให้เห็นการทำงานของกลไกที่ตกแต่งขัดเกลาได้อย่างประณีตงดงามอีกด้วย


   สายนาฬิกา
สายนาฬิกาทำมาจากวัสดุหลายๆชนิดที่มีความแตกต่างกัน อาทิ ทองคำ สเตนเลสสตีลชุบทอง ทองเหลืองชุบทอง   เหล็กกล้า ไทเทเนียม  อะลูมิเนียม รวมถึงหนังสัตว์และหนังลูกวัว (Calfskin)  ก็เป็นหนังชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการนำมาทำสายนาฬิกา  ส่วนหนังอีกชนิดหนึ่งหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ก็คือ  หนังแพะอ่อน  (Kidskin)  หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เชฟโร' (Chevreau) ซึ่งทำมาจากหนังแพะนั่นเอง  นอกจากนี้ยังมีหนังลูกหมูและหนังแกะที่มีการนำมาใช้ประกอบเป็นสายนาฬิกาด้วยเช่นกัน  สำหรับกลุ่มประเภทของหนังที่นำมาทำสายของนาฬิกาที่เราเรียกกันว่า หนังเทศหรือหนังที่มีลวดลายประหลาด (Exotics)  โดยทั่วไปจะมีราคาสูงกว่าหนังวัวหรือหนังหมูในที่นี้จะขอยกตัวอย่างให้เห็นกันอย่างชัดเจนได้แก่ หนังตะกวด (Lizard)  หนังจระเข้ท้องเหลือง (Crocodile)    หนังจระเข้ตีนเป็ด(Alligator)  หนังนกกระจอกเทศ (Ostrich)  และหนังปลาฉลาม (Shark) และล่าสุดได้มีการนำ คาร์บอนไฟเบอร์มาใทำสายนาฬิกา

    อย่างไรก็ดีบางครั้งได้มีการนำหนังลูกวัวมาตอกลายนูนเพื่อให้เกิดเป็นลวดลายที่ดูคล้ายกับหนังเทศ ในกรณีเช่นนี้จะเรียกสายหนังประเภทนี้ว่า สายหนังลายนกกระจอกเทศ (Ostrich-Look) หรือสายหนังลายตะกวด (Lizard-Look) เป็นต้น   ส่วนคำว่าตอกลายนูน (Embossed) และลายเมล็ดข้าวนั้น(Grain)ได้มีการนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงการตกแต่งลวดลายเหล่านี้ อย่างเช่นตอกกลายหนังจระเข้หรือลายหนังนกกระจอกเทศ ยังมีสายนาฬิกาอีกหลายชนิดซึ่งทำมาจากวัสดุ   สังเคราะห์ อาทิ ไนลอน พลาสติก ยาง เเละเคฟลาร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความเหนียวเป็นพิเศษซึ่งมีการนำไปใช้เพื่อทำเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนวัสดุต่างๆเหล่านี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงสำหรับการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกาสปอร์ตเพราะว่ามีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถทนต่อสภาวะอากาศได้เป็นอย่างดี
   สารพัดวัสดุเหล่านี้ถูกนำมาผสมผสานกันและกลายเป็นเรือนเวลาสวยและทรงคุณค่า  นี่เฉพาะเเค่ภายนอกเท่านั้นหากลงลึกถึงชิ้นส่วนกลไกภายในที่ทำงานด้วยแล้วจะยิ่งเห็นถึงความหลากหลายของวัสดุที่นำมาใช้ในการประดิษฐ์นาฬิกาแต่ละเรือน

บทความดีๆจากเว็บฟิสิกส์ราชมงคล
http://www.electron.rmutphysics.com

จริงหรือไม่ที่ว่านาฬิกานั้นเป็นแค่เครื่องบอกเวลาหรือเครื่องประดับ

 ก่อนที่ทุก ๆ ท่านจะอ่านบทความนี้ ผมมีคำถามเล็ก ๆ สำหรับทุก ๆ คน โดยขอท่านตั้งคำถามสำหรับตัวท่านในใจว่า นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของท่านที่...