วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2562

จริงหรือไม่ที่ว่านาฬิกานั้นเป็นแค่เครื่องบอกเวลาหรือเครื่องประดับ




 ก่อนที่ทุก ๆ ท่านจะอ่านบทความนี้ ผมมีคำถามเล็ก ๆ สำหรับทุก ๆ คน โดยขอท่านตั้งคำถามสำหรับตัวท่านในใจว่า นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของท่านที่ใช้ดูอยู่ทุกวันนั้น ท่านรู้จักมันดีแล้วหรือไม่ มันมีความหมายอะไรซุกซ่อนอยู่ในนาฬิกานอกเหนือจากการเป็นเพียงเครื่องบอกเวลาหรือไม่ หรือเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง   เมื่อท่านได้คำตอบสำหรับตัวท่านเองแล้ว

  ก่อนที่ท่านจะอ่านบทความเรื่องนี้ ผมขอให้ท่านได้ดูรูปนาฬิกายี่ห้อ ETERNA รุ่น KON-TIKI ก่อนนะครับ ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ผมชอบเป็นพิเศษ และตามหามานานแล้ว (แต่ยังไม่มีตัวสภาพสมบูรณ์ในครอบครองสักเรือน) แล้วท่านจะทราบจากบทความนี้ว่าทำไมผมจึงชอบ เมื่อท่านดูภาพนาฬิกาแล้วผมขอท่านจดจำความรู้สึกที่ท่านมีต่อนาฬิกาเรือนนี้ให้ดีนะครับว่าเป็นอย่างไร  ภายหลังจากที่ท่านอ่านบทความนี้เสร็จแล้ว ผมขอท่านย้อนกลับมาดูภาพนาฬิกาเรือนนี้อีกครั้ง แล้วสำรวจดูว่าท่านมีความรู้สึกต่อนาฬิกาเรือนนี้อย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกันกับครั้งแรกที่ท่านได้เห็นนาฬิกาเรือนนี้ก่อนที่จะอ่านบทความ

    ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนท่านผู้อ่านก่อนนะครับ ว่าผมมิใช่ผู้ที่รู้ดีที่สุด เนื่องจากนาฬิการุ่นนี้มีมานานแล้ว ผมก็เกิดไม่ทันในยุคที่นาฬิการุ่นนี้ออกมาจำหน่าย ทั้งไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วผู้ที่คิดสร้าง ออกแบบ และตั้งชื่อรุ่นนาฬิกาเรือนนี้เขาคิดอย่างไร ผมเพียงเขียนมาจากข้อมูลและประสบการณ์ที่ผมรู้และทราบมาจากการอ่าน รวมทั้งจากการที่ผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งมาก  ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็ว่าได้ ทำให้ผมสนใจนาฬิการุ่นนี้เป็นพิเศษ จึงใคร่จะแบ่งปันสิ่งที่ผมรู้ให้ทุก ๆ ท่านที่ชื่นชอบนาฬิกาได้ทราบบ้าง (หากท่านมีข้อมูลอื่นที่ถูกต้องกว่าผมก็ขอน้อมรับคำติชมและแนะนำนะครับ) ความยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติอันนี้เกี่ยวข้องกับนาฬิกาอย่างไรเชิญอ่านได้เลยครับ





  เรื่องราวที่มาของบทความนี้สืบเนื่องจากนานมาแล้วช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชายชื่อ ธอร์ ฮีเยอร์ดอล์ล ชาวนอร์เวย์ ผู้ซึ่งมีนิสัยไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค รักการผจญภัยเฉกเช่นชาวไวกิ้ง สงสัยในสิ่งที่ตนเองพบเห็นถึงอารยธรรมโบราณแถบหมู่เกาะทะเลใต้ และชาติพันธ์ของมนุษย์แถบหมู่เกาะนี้ เป็นต้น (หมู่เกาะแถบตาฮิติ ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่งหมู่เกาะและผู้คนในถิ่นนี้เรียกขานกันว่าชาวโปลินิเชี่ยน)

  ด้วยการที่ฮีเยอร์ดอล์ลสนใจความงามหมู่เกาะทะเลใต้ ซึ่งมีสมญานามว่าไข่มุกแห่งแปซิฟิค จึงได้ไปอยู่คลุกคลีกับชนพื้นเมืองที่ตาฮิติชั่วระยะเวลาหนึ่ง ได้เรียนรู้วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของชนพื้นเมืองมาบ้าง ประการสำคัญคือได้รับฟังถึงเรื่องที่มาของชนพื้นเมืองซึ่งอาศัยอยู่ตามหมู่เกาะแถบนี้ว่า มาจากผู้ซึ่งมีเรื่องเล่าขานว่าเป็นโอรสของพระอาทิตย์ เป็นเทพเจ้าของชาวเกาะ และเป็นผู้ปกครองหรือหัวหน้าคนแรกของชนชาวเกาะแถบนี้ ซึ่งมีชื่อว่า คอน-ทิกิ ฮีเยอร์ดอล์ลจึงเกิดความสงสัยว่าอยู่ ๆ จะมีมนุษย์มาอยู่บนเกาะนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้

  แต่จะต้องมีการย้ายถิ่นฐานมาจากที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ แล้วจะเดินทางมาได้อย่างไรในเมื่อหมู่เกาะแถบนี้อยู่ห่างไกลจากแผ่นดินที่ใกล้ที่สุดคืออเมริกาใต้นับพันไมล์ทะเล ซึ่งเมื่อ 1500 ปี ที่แล้วย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ว่าจะมีพาหนะใดนำพามนุษย์ไปได้ไกลขนาดนั้น แต่ฮีเยอร์ดอล์ลก็ยังเชื่อว่ามนุษย์ยุคโบราณมีความสามารถในการทำสิ่งที่มนุษย์ยุคปัจจุบันคาดไม่ถึง จึงน่าจะมีสิ่งใดนำพาพวกเขาเหล่านั้นไปยังหมู่เกาะทะเลใต้ได้เป็นแน่

   ฮีเยอร์ดอล์ลจึงได้ไปศึกษาหาข้อมูลและอ่านตำราอันเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งเขาพยายามตั้งข้อจำกัดให้แคบลงไปว่าการอพยพย้ายถิ่นฐานน่าจะเกิดจากที่ใด มีจุดเริ่มต้นที่ไหน ทั้งนี้ก็ด้วยการเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของชนชาวเกาะกับชาวแผ่นดินใหญ่ที่ใกล้ที่สุด ก็ได้ความว่ามีลักษณะตรงกับชนพื้นเมืองโบราณชาวอินคาแถบประเทศเปรู ฮีเยอร์ดอล์ลจึงได้ศึกษาหาข้อมูล รวมทั้งเรื่องเล่าเก่าแก่ปรัมปราของชาวอินคาโบราณ ก็ได้เค้าโครงว่าแต่เดิมดินแดนแถบนั้นมีเทพเจ้าผู้ปกครองและคอยอบรมสั่งสอนชาวอินคาโบราณให้มีอารยธรรม พร้อมกับเขาเหล่านั้นได้สร้างอารยธรรมไว้เป็นสิ่งปลูกสร้างมากมายให้มีความเจริญ (ซึ่งพบอยู่ในรูปร่องรอยอารยธรรมโบราณของชาวอินคาแถบประเทศเปรู) แต่อยู่ ๆ อารยธรรมเหล่านั้นก็หยุดชะงักไม่มีการสืบทอดอารยธรรมต่อ (ซึ่งน่าสงสัยยิ่งนักว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น)

  ชนชาวพื้นเมืองแถบเปรูก็กลับไปใช้ชีวิตแบบชนเผ่าต่อไป และพวกเขาเหล่าผู้มีอารยธรรมนั้นก็ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย คงทิ้งไว้เพียงซากอารยธรรมที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ ความข้อนี้จึงเป็นจุดสงสัยของฮีเยอร์ดอล์ลเป็นอย่างมาก เขาจึงได้ค้นคว้าเพื่อหาข้อสรุปตรงนี้ต่อไป ก็ได้ความว่าเมื่อนานมาแล้วชนพื้นเมืองชาวอินคาได้ทำการโค่นล้มบรรดาผู้ปกครองเหล่านั้น บรรดาผู้ปกครองเหล่านั้นจึงได้จากไปทางทะเลทิศตะวันตก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอาเค้าโครงเหล่านี้ไปไปเชื่อมโยงเข้าด้วยกันกับเรื่องเล่าเก่าแก่ของชาวโปลินิเชี่ยน พร้อมกับตั้งทฤษฎีว่าชาวโปลินิเชี่ยนได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปจากแถบประเทศเปรู แต่พวกเขาเหล่านั้นเดินทางไปกับพาหนะอะไร นี่คือคำถามที่ต้องหาคำตอบต่อไป

  ฮีเยอร์ดอล์ลจึงทำการศึกษาถึงพาหนะที่ชาวชนพื้นเมืองแถบประเทศเปรูใช้แต่โบราณกาลมา ก็ได้ความจากบันทึกที่ชาวสเปนยุคแรก ๆ ซึ่งได้บุกเบิกเดินทางไปพบทวีปอเมริกาเขียนไว้ (ประมาณยุคโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา) ว่าเขาเหล่านั้นใช้แพไม้บัลซ่าเป็นพาหนะในการเดินทางทางน้ำ ประกอบกับขณะนั้นชนพื้นเมืองเองเขาก็ยังใช้อยู่ ซึ่งเป็นการแปลกอีกอย่างที่ไม้บัลซ่านั้นจะมีขึ้นเฉพาะแต่ประเทศเปรูแถบเทือกเขาแอนดีสและอีคัวดอร์เท่านั้น นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีการอพยพย้ายถิ่นฐานที่จะต้องพิสูจน์ด้วยการเดินทางของฮีเยอร์ดอล์ลกับพวกในเวลาต่อมา

 เมื่อฮีเยอร์ดอล์ลสามารถตั้งทฤษฎีของตนได้แล้ว ประการต่อมาก็คือจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าทฤษฎีนี้เป็นความจริง ซึ่งในช่วงแรก ๆ เขาได้พยายามศึกษาทะเลและการเดินทางทางทะเลจากพวกกะลาสีเรือ กัปตันเรือ และสมาคมนักบุกเบิกในนอร์เวย์ พร้อมกับพูดคุยกับบุคคลต่าง ๆ เพื่อหาข้อมูล นอกจากนี้ยังได้ส่งบทความเกี่ยวกับทฤษฎีของตนไปยังสมาคมต่าง ๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้อ่านและเชื่อในทฤษฎีของตน พร้อมกับขอทุนสนับสนุนในการเดินทางเพื่อพิสูจน์ทฤษฎี (ในยุคสมัยนั้นคนนิยมบุกเบิกไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของตน หรือเพื่อให้ได้รับการจารึกและกล่าวขาน) 

แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจอ่านเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน โดยเชื่อว่าชนชาวเกาะเหล่านั้นอาจมีอยู่เพราะการกระทำของพระเจ้าหรือสิ่งอื่น แต่มิใช่การอพยพ และการเดินทางด้วยแพไม้ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคไกลนับพันไมล์ทะเลอย่างแน่นอน  เพราะเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายนั่นเอง ช่วงแรก ๆ เมื่อทฤษฎีของฮีเยอร์ดอล์ลทราบไปถึงที่ใดก็มีแต่คนหัวเราะเยาะ แต่เขาก็ไม่ละความพยายามทั้งที่ตนเองแทบจะไม่มีเงินติดตัว ต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนซึ่งเป็นอดีตกัปตันเรือที่พยายามพูดให้เขาล้มเลิกการคิดฆ่าตัวตายครั้งนี้เสีย

  ฮีเยอร์ดอล์ลจึงคิดหาหนทางให้คนมาสนใจด้วยการออกอากาศทางวิทยุในแถบยุโรป จนเป็นที่ฮือฮาอยู่ช่วงหนึ่ง  แต่การรอทุนสนับสนุนเหล่านั้นดูจะลางเลือนเต็มที  ฮีเยอร์ดอล์ลจึงได้ออกหาทุนด้วยตนเอง เพราะระยะเวลาที่จะต้องเดินทางใกล้เข้ามาทุกที (ก่อนจะถึงฤดูฝนและลมสินค้า  มิฉะนั้นก็ต้องรอในปีถัดไป) จนกระทั่งมีคนสนใจจะให้ทุนแต่ขอให้เขียนเรื่องการเดินทางของเขาไว้เพื่อจำหน่ายในภายหลัง

 ประการต่อมาก็ปัญหาเรื่องผู้ร่วมเดินทางที่ฮีเยอร์ดอล์ลต้องเลือกเป็นผู้ร่วมเดินทาง โดยกำหนดไว้ 6 คน รวมตนเอง ซึ่งก็มีผู้สนใจ 5 คน ล้วนแต่เป็นชาวนอร์เวย์และส่วนมากเคยเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยกันทั้งสิ้น จึงมีความสามารถแตกต่างกัน ทว่าทุกคนล้วนแต่ไม่รู้จักและมิใช่ผู้ที่เคยใช้ชีวิตในทะเล จากนั้นได้เดินทางไปประเทศเปรูเพื่อดำเนินการสร้างแพให้ทันกำหนดเวลาเดินทาง ซึ่งก่อนออกเดินทางข่าวของพวกเขาเหล่านี้เป็นที่สนใจของชาวนอร์เวย์และยุโรปเป็นอย่างมาก

 แต่ส่วนมากแล้วก็เห็นว่าเป็นการไปฆ่าตัวตายทั้งสิ้น  อีกทั้งเมื่อไปยังประเทศเปรูแล้วก็ยังประสบอุปสรรคอีกนานัปการ แม้กระทั่งเรื่องการหาต้นไม้บัลซ่าขนาดใหญ่มาสร้างแพ เพราะแถบประเทศเปรูมีการตัดไม้ไปใช้ตอนช่วงสงครามหมดแล้ว จึงต้องไปเอาไม้ที่ประเทศอีคัวดอร์ได้จำนวน 12 ต้น แต่ละต้นได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลในตำนานเก่าแก่ของชาวโปลินิเชี่ยน และล่องตามลำคลองผ่านป่ามาสู่ทะเล เพื่อล่องต่อไปยังประเทศเปรู

  จากนั้นก็มีปัญหาในเรื่องสถานที่สร้างแพ ฮีเยอร์ดอล์ลสำรวจสถานที่ต่าง ๆ แล้วเห็นว่าอู่เรือของราชนาวีเปรูมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่ติดขัดในเรื่องระเบียบราชการและการที่พวกผู้จะเดินทางเหล่านี้เป็นชาวต่างชาติ ฮีเยอร์ดอล์ลจึงได้ขอเข้าพบประธานาธิปดีดอน โจเซ่ บุสทามานท์ วาย ริเวโร แห่งเปรู เพื่อขอใช้สถานที่จนได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ เพราะเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเปรูด้วย ระหว่างการสร้างแพโดยใช้ต้นซุงจำนวน 9 ต้น ทำตัวแพผูกยึดด้วยเชือกที่ทำจากต้นไม้ตามกรรมวิธีโบราณทุกประการ

 ตามที่ชาวสเปนยุคบุกเบิกได้บันทึกไว้และตามที่ชาวอินคาปฏิบัติโดยใช้วัสดุอุปกรณ์แบบโบราณ ระหว่างสร้างแพก็มีคนมาชมจำนวนมากซึ่งล้วนแต่ยิ้มเยาะและเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กระทั่งแพแล้วเสร็จก็มีการจัดหาสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทาง โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่ายรวมทั้งจากสถานทูตอเมริกันในเปรู ซึ่งข่าวการสร้างแพและเดินทางของเขาเหล่านี้ได้รับความสนใจจากชาวเปรู อเมริกา และยุโรปเป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะพูดว่าไม่สำเร็จทั้งสิ้น บ้างก็ว่าหากรอดมาได้จะเลี้ยงเหล้าฟรีพวกเขาตลอดชีวิตก็มี  บ้างก็พนันกันว่าแพจะลอยในทะเลได้กี่วันก็มี  

  ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1947 แพพร้อมออกเดินทางท่าเรือแคลเลาแออัดไปด้วยผู้คน และมีตัวแทนรัฐบาลเปรู เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน อาร์เจนติน่า คิวบา รัฐมนตรีสวีเดน เบลเยียม นักหนังสือพิมพ์ กล้องถ่ายภาพยนตร์ แตรวง เป็นที่ใหญ่โตครึกครื้น พร้อมกับได้มีการกล่าวเรื่องชาวอินคาผู้ยิ่งใหญ่กษัตริย์แห่งสุริยะผู้หายไปทางทิศตะวันตกของทะเลเปรู และไปปรากฏตัวที่โปลินิเชี่ยนเมื่อ 1500 ปีก่อน ทั้งมีการเจิมแพด้วยลูกมะพร้าว พร้อมกับตั้งชื่อแพว่า “คอน-ทิกิ” ส่วนที่เสากระโดงแพก็มีการติดใบเรือที่มีการวาดรูปศรีษะอันเต็มไปด้วยเคราของคอน-ทิกิ ทาด้วยสีแดง โดยเป็นการจำลองจากเศียรของกษัตริย์แห่งสุริยะซึ่งสกัดไว้ด้วยหินสีแดงบนรูปสลักในเมืองปรักหักพังชื่อเทียฮัวนาโค    

วันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1947 ราชนาวีเปรูมีการนำเรือโยงชื่อ การ์เดียน ริออส ผูกโยงแพพาลากออกไปนอกเขตอ่าวเพื่อให้พ้นทางสัญจร โดยมีฝูงชนมารวมกันที่ท่าเรืออย่างแออัดเพื่อมาชมการเดินทางในครั้งนี้  ทั้งยังมีเรือยอร์ชแล่นไปส่งด้วย กระทั่งแสงสุดท้ายจากชายฝั่งหายไปห่างจากฝั่ง 50-60 ไมล์ทะเล เข้าสู่กระแสน้ำฮัมโบลท์ซึ่งพัดพาไปทางทิศตะวันตก เรือการ์เดียนก็ได้ตัดสายโยงและกลับเปรู ส่วนแพคอน-ทิกิ กับคณะเดินทางรวม 6 คน ก็ได้เดินทางไปตามกระแสน้ำและกระแสลมที่ใบเรือกางเต็มที่มุ่งสู่ทิศตะวันตกห่างจากฝั่งไปทุกที โดยเดินทางไปตามกระแสน้ำที่มิใช่เส้นทางเดินเรือในยุคนั้น แพคอน-ทิกิ จึงเดินทางไปในห้วงมหาสมุทรเพียงลำพัง ไม่พบเรือใด ๆ ในการเดินทางกลางมหาสมุทรครั้งนี้ ได้เสี่ยงภัยนานัปการ ใช้ความกล้าหาญอย่างยิ่งยวด ประสบอุปสรรคนานาประการ เช่น ภัยธรรมชาติ คลื่นลม พายุ สัตว์ต่าง ๆ ในท้องทะเลทั้งที่รู้จักและไม่เคยพบเห็น ทั้งสัตว์ดุร้ายและไม่ดุร้ายขนาดต่างกัน การดำรงชีพในวิถีแบบโบราณกลางทะเล ย้อนรอยเส้นทางเกาะอีสเตอร์ที่มีรูปสลักหินเป็นหัวมนุษย์ขนาดใหญ่ และประวัติศาสตร์ที่มาที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ทั้งยังเกี่ยวเนื่องถึงเรื่องเล่าของชนเผ่าเมารีที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่กล่าวถึงพาหนะที่เป็น “ไม้มัดเข้าด้วยกันด้วยเชือก” กระทั่งเวลาผ่านไป 93 วัน ในหมู่คลื่น แพคอน-ทิกิ ได้พบเข้ากับเกาะ ๆ แรกของหมู่เกาะโปลินิเชี่ยน

 แต่แพยังเดินทางต่อถึงเกาะถัดไป แต่ไม่สามารถนำแพเข้าเกาะได้ ต้องฝ่าฝันภัยธรรมชาติอย่างมากในการเอาชีวิตรอดและไม่ให้แพแตก กระทั่งไปพบเกาะที่มีชนชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ แต่ก็ประสบปัญหาไม่สามารถเอาแพเข้าฝั่งได้ สุดท้ายกระแสน้ำได้พัดแพไปชนแนวหินโสโครกกราโรเอีย และเกยตื้น ทั้งหกชีวิตต้องช่วยกันเพื่อเอาตัวรอดจนกระทั่งสามารถขึ้นฝั่งที่เกาะร้างดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย (พวกเขาตั้งชื่อว่าเกาะคอน-ทิกิ)

 ซึ่งเป็นเวลา 101 วัน นับแต่เดินทางออกจากเปรู ด้วยระยะทางประมาณกว่า 2000 ไมล์ทะเล และทั้งหมดได้ทึ่งกับแพไม้บัลซ่าสุดยอดพาหนะจากภูมิปัญญาของชาวอินคาโบราณ   ต่อมาได้มีชนชาวโปลินิเชี่ยนมาพาพวกเขาไปยังเกาะข้าง ๆ ที่มีคนพักอาศัย โดยชาวเกาะเหล่านี้เมื่อได้พบเห็นแพเข้า พวกเขาต่างตะลึงและตื่นเต้นยิ่งนัก เพราะเคยได้ยินเรื่องแพไม้แต่จากเรื่องเล่าปรัมปรายุคคอน-ทิกิ เทพเจ้าของพวกเขา ไม่นึกว่าแพจะมีจริง ๆ จึงมีการเล่าตำนานให้ฟัง

 หลังจากที่อาศัยที่เกาะได้ระยะหนึ่งพร้อมด้วยการเฉลิมฉลองด้วยมิตรภาพในหมู่ชาวเกาะทะเลใต้ที่งดงาม และระบำฮูลาฮูล่าที่อ่อนช้อย กระทั่งข่าวความสำเร็จและรอดชีวิตของพวกเขาแพร่ออกไปสู่โลกภายนอก  ทางการฝรั่งเศสที่ตาฮิติได้นำเรือมารับพวกเขาไปที่ตาฮิติ (ตาฮิติเป็นเกาะใหญ่ และเป็นศูนย์กลางการปกครองอาณานิคมโปลินิเชี่ยนของฝรั่งเศสในยุคนั้น) พร้อมกับเอาแพคอน-ทิกิ กลับไปด้วย

  ความอาลัยระหว่างผู้เดินทางกับชาวเกาะจึงมีขึ้น แต่ก็จำต้องจากกัน เมื่อเรือถึงตาฮิติก็มีผู้คนแออัดมารอรับพวกเขาที่ท่าเรือจำนวนมากเฉกเช่นวีระบุรุษ และทุกคนที่เป็นชาวเกาะล้วนแต่อยากเห็นแพเป็นอย่างมาก และมีคำกล่าวของหัวหน้าชาวเกาะว่า “เจ้ามาพร้อมข่าวดี แพของเจ้านำฟ้าสีเขียวครามมาสู่ตาฮิติ เพราะขณะนี้เรารู้แล้วว่าปู่ยาตายายเรามาจากไหน” จากนั้นได้มีเรือมารับพวกเขาพร้อมกับแพไปสู่อเมริกา เพื่อเดินทางกลับสู่ศตวรรษที่ 20 ซึ่งปัจจุบันแพไม้บัลซ่าดังกล่าวได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่อเมริกา จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ที่สถาบันสมิทโซเนี่ยน หรืออยู่ที่มหาวิทยาลัยอะไร  

    ด้วยเหตุการณ์ผจญภัยเดินทางเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีครั้งนี้เองครับ ช่วงเวลานั้นนาฬิกาแบรนด์นี้ จึงได้ผลิตรุ่น KON-TIKI รุ่นแรกออกมา เพื่อเป็นเกียรติประวัติสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ โดยใช้ชื่อและสัญลักษณ์ “แพไม้บัลซ่าที่มีใบอยู่ตรงฝาหลังของนาฬิกา” (ต่อมาภายหลังมีการทำหน้าจอของนาฬิกาให้เป็นรูปคลื่นด้วย) ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชื่อและสัญลักษณ์แพนี้ (ซึ่งชื่อนี้มีความหมายสุดจะบรรยายอยู่ในตัวของมันเอง) ปรากฏอยู่ที่นาฬิกา เพื่อที่ผู้รู้จะได้ระลึกถึงคอน-ทิกิ แพไม้บัลซ่า และนักผจญภัยทั้ง 6 คน นั่นเอง ดังนั้น ETERNA รุ่น KON-TIKI จึงปรากฏลักษณะที่บ่งจำเพาะถึงการเดินทางในครั้งนี้อยู่ที่นาฬิกาทุกเรือน โดยเฉพาะตรงฝาหลังของนาฬิการุ่นนี้จะต้องมีแพไม้บัลซ่าเท่านั้นนะครับ ซึ่งเรือนที่เป็นภาพตัวอย่างนี้หน้าตาขี้เหร่มากครับ แต่เปี่ยมล้มด้วยประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งผ่านการพิสูจน์ทฤษฎีของคนในยุคหนึ่งจนเป็นที่โด่งดังทั่วโลกมาแล้วครับ   
   
    เห็นไหมครับว่านาฬิกา 1 เรือน มีความหมายซ่อนอยู่โดยที่เราไม่รู้อีกมากมาย ดังนั้น จงอย่ามองเพียงว่านาฬิกาเป็นแค่เครื่องบอกเวลา หรือเครื่องประดับนะครับ แต่มันมีคุณค่าในตัวเอง มีเกร็ดประวัติศาสตร์แอบแฝงอยู่ และอื่น ๆ  อีกมากมาย เมื่อท่านอ่านจบแล้วจงกลับไปดูภาพนาฬิกาข้างต้นอีกครั้ง แล้วทบทวนว่าท่านมีความรู้สึกกับนาฬิกาเรือนนี้อย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกับที่พบเห็นในครั้งแรก                        
     ขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่สละเวลาอ่าน ขอท่านจงเพลิดเพลินกับการเก็บสะสม และหมุนเวียนเปลี่ยนมือนาฬิกาตามใจชอบ แต่อย่าลืมคำนึงถึงความลับแห่งเวลาที่อาจจะซุกซ่อนอยู่ในนาฬิกาบนข้อมือของท่านด้วย มันอาจมีความลับหรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ด้วยก็ได้นะครับ

ETERNA แบบ ของสุภาพสตรีหน้าปัดจะเป็นลายรูปคลื่น


วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2562

แบตใกล้หมดมีอาการยังไงมั่ง?


ถ้า G-Shock ของท่านมีอาการเหล่านี้อย่าตกใจ!
1.เข็มเดินกระโดด เข็มกระดิกแต่ไม่เดิน เข็มรีเซ็ตวิ่งเข้า12นาฬิกา ตั้งวันที่ไม่ได้(นักบิน)
2.กดไฟแล้ววูบตัวเลขดับ กดไฟแล้วความสว่างลดลงกว่าเดิม กดไฟไม่ติด
อาการพวกนี้มักเกิดจากถ่านอ่อน เตรียมเปลี่ยนได้เลยครับ



สนใจติดต่อเรา!

https://lin.ee/bwpUYuf
ID: @GshockMuesong

FB: https://www.facebook.com/WatchesToday

IG: https://www.instagram.com/pairojsaelee
เบอร์โทรศัพย์ 064-865-4077

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2562

ฟังก์ชั่น DST หรือ Daylight Saving Time ใน G-Shock ที่เราใช้กันอยู่มันคืออะไร?


DST หรือ Daylight saving time  คือนาฬิกาจะปรับเวลาให้เร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ 1 ชั่วโมง ในฤดูใบไม้ผลิ และปรับให้ช้าลงโดยอัตโนมัติ 1 ชั่วโมง เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง 
เนื่องจากในช่วงดังกล่าวเวลาในช่วงเช้าจะสั่นลงซึ่งจะใช้เฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งบ้านเราไม่มีสภาพแวดล้อมแบบนี้จัดไปอยู่ในตำแห่ง OFF ได้เลยครับ

การปรับเวลา Saving Time นี้มักจะใช้ในประเทศที่มีอยู่ในละติจูดมากกว่าแนว 23.5 เหนือ/ใต้ (Temperate Zone) แต่ก็ไม่ใช่ทุกประเทศที่อยู่ในแถบนี้จะประกาศใช้เวลา Summer Time ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น





สีฟ้า คือ ประเทศที่ใช้การปรับเวลาแบบ Daylight Saving Time
สีส้ม คือ ประเทศไม่ใช้ระบบ Daylight Saving Time แต่เคยทดลองใช้มาแล้ว
สีแดง คือ ประเทศไม่เคยใช้ระบบ Daylight Saving Time

เหตุผลที่ต้องใช้ Daylight Saving Time
          จุดประสงค์หลักของการใช้ Daylight Saving Time (DST) หรือ Summer Time คือ การประหยัดพลังงานในช่วงค่ำ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ เวลาพระอาทิตย์ตกดิน และเวลาการเข้านอนของคนโดยทั่วไป
          ช่วงเวลา DST จะมีระยะเวลากลางวันนานกว่าระยะเวลากลางคืน (สว่างเร็วกว่าปกติ และค่ำช้ากว่าปกติ) ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว คนเราจะตื่นเช้าตามพระอาทิตย์ขึ้น แต่จะใช้เวลาในการนอนใกล้เคียงเดิม ดังนั้น ฟ้าสว่างเร็วขึ้น คนก็จะตื่นเช้าขึ้น และเมื่อมีการเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้น คนก็จะออกมาทำงานเร็วขึ้น การใช้ชีวิตในช่วงค่ำก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้ามากนัก เพราะฟ้ายังสว่างอยู่ และเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าก็จะลดลง

ช่วงเวลา Daylight Saving Time ในแต่ละปี
         การเริ่มต้นช่วงเวลาของ Summer Time หรือ Daylight Saving Time แต่ละประเทศจะไม่ตรงกันทั้งหมดครับ ขึ้นอยู่กับกฏหมายของ และข้อตกลงร่วมกันของแต่ละประเทศ สำหรับออสเตรเลียแล้ว ปรับช่วงเวลาจากเดิมที่ห่างจากประเทศไทย 4 ชม. ก็เปลี่ยนเป็น 3 ชม. ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนเป็นต้นไปและจะเปลี่ยนกลับอีกครั้งในช่วงปลายปี

     ปกติในปฏิทินราฟาเอลประจำปี มีการระบุช่วงเวลา Summer time ของประเทศอังกฤษไว้ (British Summer Time) ส่วนข้อมูลของช่วงเวลา Summer Time ของประเทศอื่นๆ เราคงต้องหาข้อมูลกันเอง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เช่น http://www.worldtimezone.com/daylight.html

ขอบคุณบทความดีๆจาก
www.natui.com.au

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับนาฬิกา


- สนามแม่เหล็กคืออะไร และมีผลกระทบต่อการเดินของนาฬิกาอย่างไร
สนามแม่เหล็กเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กซึ่งคลื่นดังกล่าวจะมีผลกระทบกับนาฬิการะบบเปลี่ยนถ่าน ( Quartz ) ที่มีเข็ม แต่จะไม่มีผลกระทบกับนาฬิกาที่เป็นระบบ Digital (ตัวเลข) ซึ่งนาฬิกาที่มีเข็มจะใช้พลังงานในการขับเคลื่อนเข็มนาฬิกาด้วยมอเตอร์ขนาดเล็ก ที่ทำงานโดยอาศัยสนามแม่เหล็กในการควบคุมดังนั้นหากมีสนามแม่เหล็กจากภายนอกมารบกวน ก็จะทำให้การทำงานของมอเตอร์ดังกล่าวเกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งจะทำให้นาฬิการะบบ Analogue เดินไม่เที่ยงตรงหรือหยุดทำงานไปเลย  สำหรับนาฬิกากลไกอัตโนมัตินั้นในกรณีที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มสูง จะมีผลต่อนาฬิกาประเภทนี้เช่นอาการเดินช้าหรือเร็ว ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการวางนาฬิกาไว้ใกล้แหล่งกำเนิดของสนามแม่เหล็ก เช่นอุปกรณ์ไฟฟ้าโทรศัพท์, ลำโพง, หรือตู้เย็น รวมถึงอุปกรณ์ Electronics อื่น ๆเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเที่ยงตรงของนาฬิกา

- จำเป็นหรือไม่ที่ต้องส่งนาฬิกาเข้าตรวจเช็คเป็นประจำ
การตรวจเช็คและบำรุงรักษามีความจำเป็นสำหรับนาฬิกาเป็นอย่างมาก โดยที่นาฬิการะบบควอทซ์ ได้ถูกออกแบบให้มีระบบแจ้งเตือนก่อนที่แบตเตอรี่ใกล้จะหมด โดยสังเกตได้จากการเดินของเข็มวินาทีซึ่งจะเดินครั้งละ 2-5 วินาที นั้นคือการเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดแล้ว อย่างไรก็ตาม นาฬิกาที่ใช้แบตเตอรี่ ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ ทุก2 หรือ 3 ปี โดยศูนย์บริการของนาฬิกายี่ห้อนั้นๆเท่านั้น ซึ่งช่างจะตรวจเช็คนาฬิกาและทำความสะอาดสิ่งสกปรกภายในเครื่อง เช่น น้ำ ฝุ่น อื่นๆ และสำหรับนาฬิการะบบอัตโนมัติ ก็ควรนำนาฬิกาเข้าตรวจเช็คและบำรุงรักษาเนื่องจากนาฬิกาประเภทนี้มีกลไกที่ซับซ้อนและมีความสึกหรอ หากน้ำมันที่ใช้หล่อลื่นเสื่อมสภาพ หรือแห้งจึงจำเป็นต้องน้ำเข้ามาทำความสะอาดล้างเครื่องและหยอดน้ำมันเพื่อให้นาฬิกามีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ทั้งนี้ควรนำนาฬิกาเข้ามาตรวจเช็คและบำรุงรักษา ทุก 3-5ปี

- ระดับอุณหภูมิมีผลกับนาฬิกาหรือไม่ 
มีผล เนื่องจาก นาฬิกาจะสามารถเดินได้ดีในช่วงอุณหภูมิประมาณ  5-36องศาเซลเซียส ซึ่งหากมีอุณหภูมิที่สูงกว่านั้นอาจส่งผลให้อะไหล่ภายในเกิดความเสียหายได้
- ตัวเรือนนาฬิกาซีดจางหรือลอกมีสาเหตุมาจากอะไร 
สาเหตุของการที่ตัวเรือนนาฬิกาซีดจางหรือลอกนั้น อาจเกิดจากสารเคมีต่างๆที่มีในเครื่องสำอาง น้ำหอมประเภทสเปรย์ หรือ  ผงซักฟอก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่นาฬิกาที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีต่างๆเพื่อเป็นการถนอมนาฬิกาของท่าน

-แผ่นพลาสติกที่ติดมากับฝาหลังนาฬิกาควรดึงออกหรือไม่ 
ควรดึงออก เนื่องจาก บริเวณรอบๆ แผ่นพลาสติกจะเป็นที่สะสมของคราบต่างๆเมื่อนาฬิกาได้ถูกใช้งาน ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้ฝาหลังนาฬิกาเกิดสนิมและผุได้

- ควรเปลี่ยนถ่านนาฬิกาบ่อยแค่ไหน 
ถ่านนาฬิกาทั่วไปมีอายุโดยเฉลี่ยประมาณ 2 ปีแต่ถ่านสำหรับนาฬิกาที่มีฟังก์ชั่นจับเวลา หรือ สามารถกดปุ่มไฟได้อาจอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆอย่างไรก็ดีควรเปลี่ยนถ่านนาฬิกาตามระยะเวลาที่กำหนด เพราะถ้าทิ้งไว้นานเกินไปสารจากถ่านจะรั่ว และกัดกร่อน จนทำให้เฟืองนาฬิกาเสียได้

-ทำไมเปลี่ยนถ่านนาฬิกายี่ห้อเดียวกันแต่ราคาแตกต่างกัน 
เนื่องจากนาฬิกาบางรุ่น ถึงแม้จะเป็นยี่ห้อเดียวกันแต่ก็มีฟังก์ชั่นแตกต่างกันไปเช่น ปุ่มกดไฟ หรือ มีหน้าปัดบอกเวลามากกว่า 1 อัน ซึ่งนั้นก็หมายความว่า นาฬิการุ่นนั้นใช้ถ่านมากกว่า 1 ก้อนดังนั้นราคาของถ่านจึงขึ้นอยู่กับว่า ทางศูนย์ฯได้เปลี่ยนถ่านกี่ก้อนกับนาฬิกาเรือนนั้นๆ

- ทำไมนาฬิกาไม่เดิน (กลไกอัตโนมัติ) 
นาฬิกากลไกอัตโนมัติก่อนการสวมใส่ควรไขลานนาฬิกาเพื่อเป็นการช่วยทำให้ลูกเหวี่ยงภายในทำงานเพราะการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการขึ้นลานของนาฬิกาอาจเป็นสาเหตุให้นาฬิกาหยุดเดิน หรือ นาฬิกาอาจมีการกระแทกหรือกระเทือน ทำให้อะไหล่ภายในหลุดหรือคลายตัว ส่งผลให้กลไลต่างๆ ไม่ทำงานโดยปรกตินาฬิกาอัตโนมัติ โรงงานจะแนะนำให้ล้างเครื่องทุกๆ 3-5 ปี เพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่เนื่องจากเมื่อลูกค้าใช้นาฬิกาไปนานๆ จะมีความชื้น คราบฝุ่นละอองคราบน้ำมันจักรต่างๆ สะสมอยู่ ส่งผลให้นาฬิกาเดินได้ไม่ดีเท่าที่ควร

-ทำอย่างไรให้นาฬิกาทำงานอย่างเที่ยงตรงเสมอ 
ไม่ควรทิ้งนาฬิกาไว้ในที่อุณหภูมิสูงหรือต่ำจนเกินไปเป็นเวลานานหลีกเลี่ยงการกระแทกแรงๆ และบริเวณที่มีอุปกรณ์แม่เหล็กหรือสนามแม่เหล็กสูง

-ดูแลรักษานาฬิกากันน้ำอย่างไรดี 
1. ส่งเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็คอย่างน้อยปีละครั้ง และเปลี่ยนยางกันน้ำสม่ำเสมอ (ทุก 2 ปี ) หรือทันทีที่ชำรุดโดยเฉพาะถ้าใส่นาฬิกาโดนน้ำเป็นประจำ 
2. ตรวจสอบเม็ดมะยมว่าขันแน่นทุกครั้งก่อนว่ายน้ำ และไม่ได้กดปุ่มใดๆ เอาไว้ 
3. หลังว่ายน้ำในทะเลหรือสระว่ายน้ำซึ่งมีส่วนผสมของคลอรีนควรล้างนาฬิกาด้วยน้ำสะอาดโดยเปิดน้ำก๊อกให้ไหลผ่านนาฬิกา 
4. ไม่ควรใส่นาฬิกาอาบน้ำ ถึงแม้ว่าจะเป็นนาฬิกากันน้ำเพราะสบู่จะลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้น้ำซึมเข้าไปในนาฬิกาได้
5. ระมัดระวังเม็ดมะยมและปุ่มกดขณะที่นาฬิกาเปียกเนื่องจากอาจทำให้ความชื้นเข้าไปภายในเครื่องได้

-ทำไมต้องล้างเครื่องนาฬิกา
การล้างเครื่องจะเปรียบเหมือนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ของรถยนต์ เพราะว่านอกจากจะต้องถอดทุกชิ้นนำออกมาทำความสะอาดแล้ว ยังจะต้องหยอดน้ำมันหลายชนิดตามจุดต่าง ๆ ที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้ชิ้นสิ้นต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นการรักษาและยืดอายุการใช้งานของเครื่องดังนั้นท่านควรนำไปตรวจเช็คสภาพความเที่ยงตรงและความสมบูรณ์ของกลไกภายในเพื่อที่ช่างจะได้รู้ว่ามีความสกปรกภายในหรือน้ำมันหล่อลื่นตามจุดต่าง ๆแห้งหนืดหรือไม่ ทั้งนี้ ตามมาตรฐานของผู้ผลิตจะแนะนำให้ล้างเครื่องทุก ๆ 3-5 ปี
ขอบคุณบทความดีๆ จาก โทรคาเดโร กรุ๊ป

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562

เปิดตัว “ Honda Super Cub x G-Shock DW-5600 “ จำนวนจำกัดเพียง1,000 เรือน



 Honda และ Casio จับมือ เปิดตัว G-Shock DW-5600 “ ฉลองครบรอบ 60 ปี ของรถจักรยานยนต์ Honda Super Cub  จำนวนจำกัด เพียง 1,000  เรือนเท่านั้น  เมื่อไม่นานมานี้ Casio ยังได้ฉลองครบรอบ 60 ปี (บริษัท Casio Computer จำกัด ) และนาฬิกา G-Shock เรือนที่ 100 ล้านที่ถูกจำหน่าย ในปี ค.ศ. 2017

 The custom G-Shock DW-5600 มีตรา “ Honda ” และ “ Cub " บนหน้าปัดสีขาว พร้อมกับ Pattern อันโดดเด่น ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Super Cub พิมพ์ลงบนสายรัดข้อมือ ตัวเคส สแตนเลสด้านหลังมีตราประทับ ฉลองยอดขาย 100 ล้านเรือน และครบรอบ 60 ปี Casio ไฟ blacklight EL แสดงกราฟิกสีแดงของ Super Cub และข้อความ ” Since 1958 “




 Honda Super Cub เป็นยานยนต์ที่ได้รับความนิยมและผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก มีการผลิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ค.ศ. 1958 ได้รับความนิยมในเอเชียและมีหลากหลายรุ่น ในปีค.ศ. 1986 รุ่น “C100EX” นำไปสู่ “Dream Line” ซึ่งตอนนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วน Super Cub รุ่นอื่น ๆ เปิดตัวในปลายปีค.ศ. 2000 และ 2010 เพลง “ Little Honda” ของวง The 1964 Beach Boys ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Honda 50 ซึ่งเป็น Super Cub เวอร์ชั่นอเมริกันเช่นกัน (เปลี่ยนชื่อเนื่องจากปัญหาเครื่องหมายการค้า) และในค.ศ. 1963 แท็กไลน์  “You meet the nicest people on a Honda” หรือ “ คุณจะพบกับคนที่ดีที่สุดได้ในฮอนด้า” ถูกสร้างขึ้นสำหรับแคมเปญ Marketing ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้คิดค้น “ Lifestyle Marketing ”









(Honda C100EX Super Cub)










 ยังไม่แน่ชัดอย่างเป็นทางการ แต่บางเว็บไซต์รายงานว่า Honda Super Cub x G-Shock DW-5600 จะวางจำหน่ายในเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 ที่ตัวแทนจำหน่าย Honda ในประเทศญี่ปุ่น ในราคา 14,040 เยน
 บริษัท Honda ในประเทศญี่ปุ่นยังเปิดตัว “ Super Cub 50 ” และ “ Super Cub 100 “ รุ่นครบรอบ 60 ปีในเดือนมกราคม ค.ศ. 2019 อีกทั้งยังเปิดตัว “ Super Cub C125 ABS” จำนวนจำกัด ในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย Super Cub ถูกยกเลิกในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1974



(2019 Honda Super Cub C125)


วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Casio to Release EDIFICE Solar-Powered Chronograph Featuring 3D Dial

Casio to Release EDIFICE Solar-Powered Chronograph Featuring 3D Dial

Dynamic Design Inspired by Motorsports

               วันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2018  ,กรุงโตเกียว  บริษัท Casio Computer Co. , Ltd. ประกาศเปิดตัว Casio Edifice ใหม่ นาฬิกาสปอร์ตคุณภาพสูง “EQS-920 Chronographs” หน้าปัดดีไซน์สามมิติ ให้รูปลักษณ์และความรู้สึกแบบไดนามิก
           EQS-920 ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ การชาร์จหนึ่งครั้งสามารถใช้ได้นานถึง 5 เดือน ตรวจสอบระดับแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วโดยการกดปุ่มด้านล่างค้างไว้หนึ่งวินาที เข็มวินาทีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาจะแสดงระดับการชาร์จแบตเตอรี่โดยชี้ไปที่ตัวอักษรใดตัวหนึ่ง: L (ต่ำ), M (กลาง) หรือ H (สูง) มาพร้อมฟังก์ชั่นจับเวลา ที่สามวงเล็กในหน้าปัดดีไซน์สามมิติ


About EDIFICE
                แบรนด์ EDIFICE เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของทีมแข่งรถ F1 Scuderia Toro Rosso ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 2016 ความหลงใหลในความเร็วและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอันโดดเด่นของ Scuderia Toro Rosso สะท้อนถึงแบรนด์ EDIFICE และแนวคิด "Speed ​​and Intelligence” EDIFICE chronographs ก้าวล้ำด้วยฟังก์ชั่นขั้นสูงซึ่งเป็นไปได้ด้วยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยจาก Casio




Specifications